วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แสงออโรรา หรือ แสงเหนือแสงใต้ที่พุงขึ้นจากขอบฟ้าในเวลากลางคืน:Aurora Borealis


Aurora Borealis





ครอบคลุมถึงสองประเทศ คือ ซิมบับเว และแซมเบีย

แสงเหนือ....แสงที่ปรากฏให้เห็นตามธรรมชาติ ที่ทำให้คนทั่วไปเต็มไปด้วยความประหลาดใจและหวาดกลัวนานเป็นศตวรรษ มันไม่เป็นแบบเดิมจนกระทั่งเราสามารถวัดอนุภาคและอะตอมได้อย่างแน่นอน โดยผ่านทางดาวเทียมเราสามารถรู้ได้ว่าความจริงที่มันเป็น

ผลผลิตพลังงานของดวงอาทิตย์อยู่ไกลจากเวลาเย็นและขึ้นลงเป็นรอบระยะเวลา 11 ปี ผลผลิตสูงสุดประจวบกับ จุดที่ปรากฎในดวงอาทิตย์เป็นครั้งคราวทำให้ เกิดอากาศวิปริตสูงเมื่อกระบวนการเกิดบนพื้นผิวดวงอาทิตย์พัดพาอนุภาคไกลออกไปในอวกาศ อนุภาคทั้งหลายนี้ถูกเรียกว่า ลมสุริยะ(solar wind) อนุภาคสุริยะเหล่านี้ถูกตรึงยึดไว้โดยสนามแม่เหล็กโลก เร่งให้พลังงานระดับสูงและเกิดความกดอากาศสูงขึ้น แสงพุ่งขึ้นจากท้องฟ้า ในเวลากลางคืน(aurora)ลักษณะรูปวงรีขนาดใหญ่รอบทั้งสองขั้วแม่เหล็ก แสงที่พุงขึ้นจากท้องฟ้าในเวลากลางคืน(aurora)ทิศใต้เรียกว่า aurora australis ส่วนทิศเหนือเรียกว่า aurora borealis

ในยุคกลางของยุโรป แสงเหนือถูกคิดนำไปเป็นสื่อของนักรบสวรรค์ ระลึกถึงผู้ที่ตายไปแล้วเป็นการตอบแทน ทหารนั้นมีขีวิตของเขาเพื่อพระราชาและประเทศชาติ ได้อนุญาตให้ต่อสู้ตลอดไปในskies แสงเหนือเป็นลมหายใจของ ทหารผู้กล้าหาญเหล่านี้พวกเขาสรุปการต่อสู้ของพวกเขาไๆว้ในskies แสงเหนือเป็นสัญญาณของลางร้าย พวกเขาเตือน ถึงของความโชคร้าย โรคระบาด และความตาย เมื่อเป็นสีแดงทั่ว ๆ ไปมากที่สุดที่ละติจูดต่ำพวกเขาจะเป็น สัญญาณของสงครามที่จะเกิดขึ้น

ปีนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังทำนายว่า พายุแสงที่พุ่งขึ้นจากท้องฟ้าเวลากลางคืน(auroric storms) จะเกิดขึ้นที่ 11 ปีสูงสุด พายุนี้สามารถสร้างความเสียหาย ในการติดต่อสื่อสารและทำให้พลังงานไฟฟ้าหมดไป เหตุการณ์ใหญ่ล่าสุดพลังงานทำให้หมดไปน้อยกว่าศูนย์ ในฤดูหนาวของชาวแคนาดา ช่วงเวลาที่เกิดจะเริ่มในเดือนกรกฏาคม ปี 1999 และขยายไปถึงในปี 2001 วัฎจักรดวงอาทิตย์นี้สร้างขึ้นมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว


Victoria Falls






น้ำตกวิคตอเรีย (Victoria Falls) น้ำตกที่ใหญ่และสวยงามติดอันดับโลกครอบคลุมถึงสองประเทศ คือ ซิมบับเว และแซมเบีย

ผู้ค้นพบและนำมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รับรู้ ก็คือ เดวิด ลิฟวิ่งสโตน ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1855จุดประสงค์ในการสำรวจนั้นเพื่อต้องการที่จะทราบว่าลำน้ำสายหนึ่งซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เหตุใดจีงหายเข้าไปในซอกรอยแยกของแผ่นดิน ลิฟวิ่งสโตนเริ่มเดินทางไปตามเส้นทางของแม่น้ำแซมเบซีเพื่อหาต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้ หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย ลิฟวิ่งสโตนก็เดินทางมาถึงเขตแองโกลา ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลด้านแอตแลนติก ในช่วงเดินทางกลับนั้น ลิฟวิ่งสโตนเดินทางลงมาตามลำน้ำเพื่อไปยังบริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก เขาก็ได้พบกับน้ำตกวิคตอเรีย ภายหลังอยู่ในแอฟริกาได้ 16 ปี หลังจากนั้นลิฟวิ่งสโตนจึงเดินทางกลับอังกฤษ แล้วเขาก็ได้แถลงความจริงออกมาว่า บริเวณภายในส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกานี้มิได้เป็นเพียงทะเลทรายเท่านั้น แต่ยังมีดินแดนที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่เป็นป่าและน้ำมากพอสมควร หลังจากที่ได้ค้นพบแล้ว เดวิด ลิฟวิ่งสโตน จึงได้ทราบว่า น้ำตกแห่งนี้เกิดจากภูเขาไฟระเบิดเมื่อ 150 ล้านปีที่ผ่านมา จนทำให้แผ่นดินบริเวณนี้แยกออกเป็นสองส่วน กลายเป็นน้ำตกอันยิ่งใหญ่ และเขาก็ได้ตั้งชื่อน้ำตกแห่งนี้ว่า "น้ำตกวิคตอเรีย"

น้ำตกวิคตอเรียมีความยาวถึงเกือบ 2 กิโลเมตร และมีเนื้อที่ครอบคลุมถึงสองประเทศ คือ ซิมบับเว และแซมเบีย น้ำตกแห่งนี้ไหลลงสู่แม่น้ำแซมเบซีที่เชี่ยวกราก ในช่วงที่มีปริมาณน้ำมาก น้ำตกนี้จะแย่งกันทะลักพวยพุ่งลงไปยังเบื้องล่างกระทบกับหินทำให้เกิดเสียงดังและมีฟองฝอยฟุ้งเป็นละอองน้ำ ดุจมีหมอกครื้มครอบคลุมไปทั่วบริเวณ และขณะเดียวกันจำนวนน้ำที่มาก ก็ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องสะท้านดุจเสียงคำรามของสัตว์ป่า ในบางจุดเกิดละอองน้ำที่พวยพุ่งขี้นสู่ท้องฟ้าได้ถึง 500 เมตร สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ๆ ละอองน้ำแห่งนี้จึงได้รับสมญานามว่า "ควันซึ่งส่งเสียงร้องคำราม" ความลึกของน้ำตกแห่งนี้เริ่มตั้งแต่ 90-108 เมตร โดยเริ่มจากจุดแรก ที่เรียกว่า เดวิด คาทาแรคท์ (Devil's Cataract) ซึ่งบริเวณนี้จะมีแก่งในแม่น้ำหรือคาทาแรคท์อยู่ถัดออกไป และช่วงนี้จะเป็นช่วงสำคัญของน้ำตก

ถ้ามองไปทางด้านตะวันออกเมื่อยามพระอาทิตย์ปรากฏจะสามารถเห็นรุ้งกินน้ำได้อย่างชัดเจน และนับเป็นจุดที่สวยที่สุด โดยเรียกจุดนี้ว่า คาทาแรคท์ตะวันออก ใกล้ ๆ บริเวณนี้มีรูปปั้นของลิฟวิ่งสโตนตั้งอยู่ สายน้ำเหล่านี้จะไหลเรื่อยกลายเป็นแม่น้ำแซมเบซีซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นทุกที ๆ ผ่านช่องเขาบาโตกัวในลักษณะเชี่ยวกรากและรุนแรงจนมีผู้ตั้งชื่อเขตนี้ว่า "หม้อน้ำเดือด" (Bolling Pot) จากนั้นก็จะไหลผ่านที่ราบ ผ่านทางรถไฟ เชื่อมต่อระหว่างซิมบับเวกับแซมเบีย และบริเวณสะพานแห่งนี้เองก็จะเป็นที่ที่ใช้สำหรับโดดบันจี้จัมพ์ของผู้ที่รักความสะใจ เพราะที่นี่นับเป็นจุดโดดที่สูงที่สุดในโลก น้ำตกวิคตอเรียแห่งนี้ไม่เคยเหือดแห้ง สามารถผลิตน้ำได้ถึงห้าล้านคิวบิคเมตรต่อนาที ในช่วงหน้าฝน ช่วงที่คนมาเที่ยวมากที่สุดก็คือระหว่างเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนเพราะทิวทัศน์จะสวยงาม มีละอองน้ำไม่มาก













วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Niagara Falls



น้ำตกไนแองการ่าแหล่งท่องเที่ยวที่ลือลั่นสนั่นโลก และเป็นแหล่งที่ทำเงินให้กับแคนาดาและสหรัฐอเมริกาปีหนึ่ง ๆ นับจำนวนมหาศาล เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่เคยที่จะร้างห่างลาผู้คน ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนึ่งฤดูใดก็ตาม

ภาพของน้ำตกไนแองการ่าที่ไหลลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอ เป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ที่ดูเป็นแอ่งนิ่งและสงบอยู่ในแผ่นดินทางสหรัฐอเมริกา แต่ถัดมาที่มีลักษณะเป็นรูปเกือกม้าขนาดใหญ่กลับเป็นภาพของ กระแสน้ำที่หลั่งทะลักลงจากหน้าผาสูงเป็นแนวกว้าง กระโจนลงสู่พื้นเบื้องล่าง และเพราะแรงกระทบที่ตกลงไป ส่งผลให้เกิดละอองกระเซ็นสาดไปทั่วบริเวณ เมื่อกระทบกับแสงแดดที่สาดเข้าใส่ละอองเหล่านั้นจะปรากฏเป็นภาพของรุ้งกินน้ำ ประดับบริเวณน้ำตกอยู่ตลอดเวลา ส่วนความมหึมาของน้ำตกตรงจุดนี้เขาเรียกกันว่า "แคนาเดี่ยนฟอลส์" ส่วนบริเวณชั้นของน้ำตกส่วนล่างลงมา ซึ่งก็เป็นบริเวณที่เป็นชั้นน้ำตก ตกลงไปกระทบพื้นล่าง เป็นระดับแนวยาวขนานกันกับชั้นบนมามีชื่อเรียกว่า "อเมริกัน ฟอลส์"











เจดีย์ชเวดากองแห่งพม่า

เจดีย์ชเวดากอง

"ชเว" คือ ทอง ส่วน "ดากอง" คือชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง สมัยที่พระเจ้าอลองพญาสถาปนาเมืองเล็กริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2298 กล่าวกันว่า "ทอง" แห่งมหาเจดีย์มหาศาลกว่าทองในธนาคารแห่งอังกฤษ ซึ่งน้อยคนปฏิเสธความเป็นไปได้


ประวัติความเป็นมาของมหาเจดีย์องค์สำคัญนี้ ที่มีผู้ค้นคว้าและบันทึกไว้อย่างน่าอ่านก็คือ ข้อมูลจากหนังสือ "พม่า" ในชุด "หน้าต่างสู่โลกกว้าง"

ตามตำนานกว่า 2,500 ปี ของเจดีย์แห่งนี้กล่าวไว้ว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุทั้งแปดเส้นของพระพุทธเจ้า และพระบริโภคเจดีย์ของพระอดีตพระพุทธเจ้าทั้งสามองค์ องค์สถูปหุ้มด้วยทองคำทั้งหมด 8,688 แท่ง แต่ละแท่งมีค่ามากกว่า 400 ยูเอสดอลลาร์ ปลายยอดสถูปประดับด้วยเพชร 5,448 เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัมอีก 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดเขื่องอยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ประดับอยู่ด้านบนเหนือฉัตรขนาด 10 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นบนไม้หุ้มทองเจ็ดเส้น ประดับด้วยกระดิ่งทองคำ 1,065 ลูก และกระดิ่งเงิน 420 ลูก รอบองค์สถูปรายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างกว่า 100 หลัง มีทั้งสถูปบริวาร วิหารทิศ วิหารราย และศาลาอำนวยการ

เจดีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพวก บะกัน เรื่องอำนาจ พระเจ้าอโนรธา เคยเสด็จประพาสชเวดากองระหว่างการรบพุ่งทางใต้ในศตวรรษที่ 11 พระเจ้าบญาอู แห่งพะโค ก็ทรงบูรณะเจดีย์แห่งนี้ในปี พ.ศ.1925 และ 50 ปีต่อมา พระเจ้าเบียนยาเกียนก็โปรดให้ยกองค์สถูปให้สูงขึ้นไปถึง 90 เมตร

ผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจาก พระเจ้าเบียนยาเกียน คือ พระนางฉิ่นซอปู้ หรือ นางพญาตะละเจ้าท้าว ได้ทรงสร้างลานและกำแพงล้อมรอบองค์สถูป และพระราชทานทองคำเท่าน้ำหนักพระองค์เอง 40 กิโลกรัม ให้นำไปตีเป็นแผ่นทองหุ้มสถูป เป็นแบบอย่างให้กษัตริย์รุ่นหลัง ๆ ทรงประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งนี้เพราะพายุลมฝนในช่วงมรสุมนั้นโหมแรง จนทำให้แผ่นทองคำชำรุดหลุดร่วงลงมาอยู่บ่อย ๆ พระเจ้าธรรมเซดี ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระนางก็ได้ทรงบริจาคทองคำหนักเป็นสี่เท่าของน้ำหนักพระองค์เอง เพื่อบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์

ในปี พ.ศ.2028 พระเจ้าธรรมเซดีทรงสร้างศิลาจารึกสามหลังเอาไว้บนบันไดด้านตะวันออกของเจดีย์ชเวดากอง บอกเล่าประวัติของเจดีย์เป็นภาษามอญ พม่า และบาลี จารึกนั้นยังคงมีให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้
เจดีย์ชเวดากองตกอยู่ภายใต้การยึดครองของอังกฤษนานถึง 77 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2395-2472 แต่ชาวพม่าก็ยังสามารถเข้ามาสักการะเจดีย์ได้

ในปี พ.ศ.2414 พระเจ้ามินดง แห่งมัณฑะเลย์ ทรงส่งฉัตรฝังเพชรอันใหม่มาถวายเป็นพุทธบูชา มีการจัดงานฉลองและมีชาวพม่ากว่าแสนคนมาเที่ยวชมงาน พระองค์จึงทรงถือโอกาสนี้ปรารถนาเรื่องเอกราชของพม่า สร้างความไม่พอใจให้กับอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้

ช่วงศตวรรษที่ 20 มีภิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นกับพม่าหลายครั้ง โดยเริ่มจากปี พ.ศ.2473 เกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่ก็สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในปี พ.ศ.2474 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่จากฐานบันไดทางทิศตะวันตก ลุกลามต่อไปยังปีกด้านเหนือ โชคดีที่ดับไฟได้เสียก่อน แต่ก็ได้เผาผลาญศาสนสถานสำคัญไปไม่น้อย ในปีพ.ศ.2513 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง นับเป็นภัยแผ่นดินไหวครั้งที่ 9 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ส่งผลให้ทางภาครัฐต้องจัดทำโครงพิเศษเพื่อเสริมยอดเจดีย์ให้แข็งแรงขึ้น
เมื่อใดก็ตามที่เจดีย์แห่งนี้ชำรุดเสียหายก็จะได้รับการบูรณะให้งดงามรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม
เจดีย์ชเวดากองสัญลักษณ์ของประเทศพม่าตั้งแยู่บนเนินเขาเชียงกุตตระ สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง เพราะสูงเด่นเป็นสง่า ข้อสำคัญไม่มีตึกหรืออาคารสูงมาตั้งบดบังได้
นอกจากสถูปทองที่ส่องอร่ามไปทั่วแล้ว ยังมีองค์ประกอบโดยรวมอีก ตั้งแต่ประตูทางขึ้นสู่บันไดทั้ง 4 ทิศที่ใหญ่โตมโหฬาร ตัวหลังคาระเบียงวัดที่ทอดขึ้นสู่ฐานขององค์เจดีย์ก็มีลวดลายสลักเสลาเหมือนปราสาทลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ
เจดีย์ชเวดากองเปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 04.00-21.00 น. การเปิดให้เข้าชมเป็นช้าวงเวลายาวขนาดนี้ ก็เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเข้าไปก่อนอรุณรุ่งและกลับออกมาหลังตะวันยอแสง จะได้มีเวลาชมเต็มที่
บริเวณโดยรอบของทางเข้าทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่เจดีย์ชเวดากองที่ผู้คนนิยมใช้กัน มีบันไดทั้งหมด 104 ขั้น ทอดขึ้นสู่บริเวณลานของเจดีย์

ตามสองข้างทางบันได เต็มไปด้วยร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากทางวัดให้เข้ามาตั้งแผงขายของให้กับผู้คนที่มาสักการะบูชาด้วยความเลื่อมใส สินค้าส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการทำบุญและก็มีสินค้าที่ระลึกวางขายด้วย
หน้าบริเวณทางเข้ามีรูปปั้นสัตว์ในตำนวนปรัมปราสองตัวทำหน้าที่เป็นทวารบาลคือ ชินเต้ หรือสัตว์ครึ่งสิงโตครึ่งนก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สีหปักษีทวารบาล และ ยักษ์ทวารบาล
รายรอบด้วยเจดีย์องค์เล็กองค์น้อย ผู้คนจำนวนมากยังเดินทางมาที่นี่เพื่อกราบไหว้ สักการะ สรงน้ำองค์ปฏิมา และทำทักษิณาวัตร ไม่ใช่เฉพาะคนแก่คนเฒ่า แต่ทั้งเด็กเล็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง พากันมาน้อมใจสู่พระรัตนตรัยที่นี่
นอกจากจะมีทวารบาลที่หน้าประตูแล้ว ยังมีเหล่าเด็ก ๆ ชาวพม่าวิ่งท้วงติงผู้ที่ใส่รองเท้าเข้ามาบริเวณวัด ให้ถอดรองเท้าถุงเท้า แล้วให้ซื้อถุงก๊อบแก๊บใส่รองเท้าถือเข้าวัดได้ด้วย

Teddy bear


History


The name Teddy Bear comes from former United States President Theodore Roosevelt, whose nickname was "Teddy". The name originated from an incident on a bear-hunting trip in Mississippi in November 1902, to which Roosevelt was invited by Mississippi Governor Andrew H. Longino. There were several other hunters competing, and most of them had already killed an animal. A suite of Roosevelt's attendants, led by Holt Collier, cornered, clubbed, and tied an American Black Bear to a willow tree after a long exhausting chase with hounds. They called Roosevelt to the site and suggested that he should shoot it. He refused to shoot the bear himself, deeming this unsportsmanlike, but instructed that the bear be killed to put it out of its misery and it became the topic of a political cartoon by Clifford Berryman in The Washington Post on November 16, 1902. While the initial cartoon of an adult black bear lassoed by a white handler and a disgusted Roosevelt had symbolic overtones, later issues of that and other Berryman cartoons made the bear smaller and cuter.

Morris Michtom saw the drawing of Roosevelt and the bear cub and was inspired to create a new toy. He created a little stuffed bear cub and put it in his shop window with a sign that read "Teddy's bear," after sending a bear to Roosevelt and receiving permission to use his name. The toys were an immediate success and Michtom founded the Ideal Novelty and Toy Co.

At the same time in Germany, the Steiff firm, unaware of Michtom's bear, produced a stuffed bear from Richard Steiff's designs. They exhibited the toy at the Leipzig Toy Fair in March 1903 and exported 3,000 to the United States.

By 1906 manufacturers other than Michtom and Steiff had joined in and the craze for "Roosevelt Bears" was such that ladies carried them everywhere, children were photographed with them, and Roosevelt used one as a mascot in his bid for re-election.

American educator Seymour Eaton wrote the children's book series The Roosevelt Bears, while composer John Bratton wrote "The Teddy Bear Two Step" which, with the addition of Jimmy Kennedy's lyrics, became the song "The Teddy Bears' Picnic".

Early teddy bears were made to look like real bears, with extended snouts and beady eyes. Today's teddy bears tend to have larger eyes and foreheads and smaller noses, babylike features that make them more attractive to buyers because they enhance the toy's cuteness. Also, now some bears come pre-dressed, sometimes for winter, spring, summer, or fall.

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Chewing Gum

สมัยหนึ่งการเคี้ยวหมากของคนไทยรุ่นย่ารุ่นยายกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป เพราะถือว่าการที่จะพัฒนาประเทศให้ทันสมัยเทียบกับอารยชนชาติตะวันตกได้นั้น ประชาชนคนไทยต้องกระทำตนให้ทันสมัยตามไปด้วย และสิ่งหนึ่งก็คือ ต้องไม่กินหมากแต่อารยชนชาติตะวันตกก็เคี้ยวหมากเหมือนกัน เพียงแต่เป็นหมากคนละชนิดกัน

ฝรั่งถือว่าการเคี้ยวหมาก (ฝรั่ง) เป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อกราม ช่วยลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบนใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผ่อนคลายร่างกาย เพราะบ้านเมืองเขาเป็นเมืองหนาวร่างกายส่วนอื่น ๆ ยังหาอะไรให้ความอบอุ่นได้ แต่บริเวณใบหน้านี่ต้องทนเอา
หมากฝรั่งเป็นที่นิยมในหมู่ทหารอเมริกันมาก พวกเขาบริโภคหมากฝรั่งเป็น เท่าของอัตราเฉลี่ยของคนอื่น นอกจากนี้การเคี้ยวหมากฝรั่งก็ยังมีที่มาจากทหารด้วย
ทหารผู้นั้นมียศเป็น นายพลชื่อ อันโตนิโอ โลเปซ เอก ซานตาอันนา แห่งกองทัพเม็กซิโก เมื่อเข้ามาอยู่ในอเมริกาเขานำยางของต้นไม้จากป่าในเม็กซิโกมาด้วย ยางชนิดนี้รู้จักกันในหมู่พวกอาซเท็กว่า ชิคลิ (Chicli) นายพลซานตา อันนา ชอบเคี้ยวยางไม้ไร้รสนี้มาก ต่อมาโทมัส อดัมส์ นักถ่ายภาพและนักประดิษฐ์ก็ได้รู้จักยางไม้นี้จากนายพลชานตา และได้สั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก โทมัสพยายามเปลี่ยนยางไม้ให้เป็นยางเทียม แต่ก็ล้มเหลวเสียหลายครั้ง เมื่อหวนคิดว่าหลานของเขาและนายพลชานตาชอบเคี้ยวยางไม้นี้จึงเกิดความคิดที่จะเปิดตลาดด้านนี้แทน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ
หมากฝรั่งยุคแรก ๆ ของโทมัส อดัมส์ ทำเป็นเม็ดกลมเล็ก ๆ ยังไม่มีรสชาติ วางขายในร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองโฮโบเค็นรัฐนิวเจอร์ซี่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๗๑ โดยขายราคาเม็ดละ ๑ เพนนี ต่อมาจึงได้ดัดแปลงทำเป็นรูปแผ่นสี่เหลี่ยมแบน ๆ
บุคคลแรกที่เติมรสชาติให้หมากฝรั่งคือ เภสัชกรจากหลุยส์วิล รัฐเคนตักกี้ ชื่อ จอห์น คอลแกน ในราวปี ค.ศ. ๑๘๗๕ เขาไม่ได้เติมรสแบบลูกอมรสเชอร์รี่ รสเปปเปอร์มินต์ หรืออื่น ๆ อย่างในสมัยนี้ รสชาติที่เขาเติมให้หมากฝรั่งคือตัวยาทางการแพทย์ เป็นขี้ผึ้งหอมทูโล ทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ รสชาติคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กในยุคเมื่อร้อยกว่าปีก่อน คอลแกนเรียกหมากฝรั่งของเขาว่า แทฟฟี-ทูโล เป็นหมากฝรั่งที่ประสบความสำเร็จกว่าหมากฝรั่งอื่น ๆ ที่เติมรสชาติแล้วในสมัยนั้น
ต่อมาโทมัส อดัมส์ ใช้รสชะเอมเติมในหมากฝรั่ง เรียกชื่อสินค้าของเขาว่า แบลคแจค ซึ่งเป็นหมากฝรั่งเติมรสที่เก่าแก่ที่สุดที่มีขายอยู่ในท้องตลาด (ของอเมริกา) ส่วนรสเปปเปอร์มินต์ซึ่งเป็นรสยอดนิยมเริ่มมีในปี ค.ศ. ๑๘๘๐
หมากฝรั่งที่วางขายอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ยางไม้ที่ทำเลียนแบบทอฟฟี่อย่างหมากฝรั่งของนายพลซานตา แต่เป็นยางสังเคราะห์นุ่ม ๆ ซึ่งโดยตัวมันเองแล้วไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ชื่อก็ไม่ชวนกิน แต่คนอเมริกันก็เคี้ยวเจ้ายางสังเคราะห์นี้กันถึงปีละ ๑๐ ล้านปอนด์
สำหรับหมากฝรั่งที่ใช้เป่าเป็นลูกโป่งได้ ผู้คิดค้นคือ สองพี่น้อง แฟรงค์ และ เฮนรี ฟลีเออร์ แต่คุณภาพของหมากฝรั่งที่แฟรงค์ผลิตให้เป่าได้ในตอนนั้นยังมีปัญหา คือไม่ยืดหยุ่นพอลูกโป่งยังไม่ทันโตก็แตก และเมื่อแตกแล้วจะติดแก้มติดจมูก จนปีค.ศ. ๑๙๒๘ แฟรงค์ก็สามารถผลิตหมากฝรั่งที่เป่าเป็นลูกโป่งได้ขนาดโตเป็น ๒ เท่าของที่ทำได้ในช่วงแรก ๆ
หมากฝรั่งไม่ได้แพร่หลายเฉพาะแต่ในอเมริกาเท่านั้น ในหมู่ชาวเอสกิโมก็เคี้ยวหมากของฝรั่งแทน 'หมาก' จากไขปลาวาฬ ซึ่งใช้เคี้ยวมานานหลายศตวรรษ โดย จี.ไอ. สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นผู้นำไปเผยแพร่..

Pisa tower


Pisa of Tower


หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

การสร้าง
เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี

หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา

ประวัติ
กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้

ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา

ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง

ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย

นอกจากนี้หอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จอีกด้วย