วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

8 ตัวอย่างภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ที่ฮิตติดปากคนไทย

ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก ผมจึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆพร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้ เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกันครับ

1) อินเทรนด์ (in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า "มันทันสมัย" คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้

2) เว่อร์ (over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึงอะไรเหรอ? พูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น

"He said you walked 30 miles." เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์
"No - he's exaggerating. It was only about 15." ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

ดัง นั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)

3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะครับ
ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น
ส่วน หนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

หนังบางเรื่องจะมี คำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/คำหวงห้าม/television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ

4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior

5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่า? ที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."

7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ

8) เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้

รวมคำขวัญตั้งเเต่ปี พ.ศ 2531-2554

2554 (2011)
The WHO Framework Convention on Tobacco Control
พิทักษ์สิทธิตามกฏหมาย มุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่

2553 (2010)
Gender and tobacco with an emphasis on marketing to women
หญิงไทยฉลาด ไม่เป็นทาสตลาดบุหรี่

2552 (2009)
Tobacco Health Warnings
บุหรี่มีพิษ ร่วมคิดเตือนภัย

2551(2008)
Tobacco - Free Youth
เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่

2550(2007)
Smoke Free-Environtments
ไร้ควันบุหรี่ สิ่งแวดล้อมดี ชีวีสดใส

2549(2006)
Tobacco: Deadly in any form or disguise
บุหรี่ทุกชนิดนำชีวิตสู่ความตาย

2548(2005)
Health Professionals and Tobacco Control
ทีมสุขภาพร่วมใจ ขจัดภัยบุหรี่

2547(2004)
Tobacco and Poverty ( A Vicious Circle )
ครอบครัวปลอดบุหรี่ จะมั่งมีและแข็งแรง

2546(2003)
Tobacco free films tobacco free fashion
ภาพยนตร์ปลอดบุหรี่ ส่งผลดีต่อเยาวชน

2545(2002)
Tobacco Free Sports - Play it clean.
กีฬาปลอดบุหรี่ ส่งผลดีต่อสุขภาพ

2544(2001)
Second-Hand Smoke : Let's Clear the Air.
เห็นใจคนรอบข้าง ร่วมสร้างอากาศสดใส ปลอดจากภัยควันบุหรี่

2543(2000)
Tobacco kills don't be Duped.
บุหรี่คร่าชีวิต อย่าหลงผิดตกเป็นเหยื่อ

2542(1999)
Leave the pack behind.
อนาคตมีคุณค่า เมื่อบอกลา...เลิกบุหรี่

2541(1998)
Growing up without tobacco.
คนรุ่นใหม่ไม่สูบบุหรี่

2540(1997)
United for a Tobacco - free world.
ผนึกกำลังเพื่อสังคมปลอดบุหรี่

2539(1996)
Sport and the arts : play it tobacco free.
ศิลปะและกีฬาไม่พึ่งพาบุหรี่

2538(1995)
Tobacco costs more than you think.
บุหรี่ก่อความสูญเสียมากกว่าที่คุณคิด

2537(1994)
The media against tobacco.
ทุกสื่อร่วมใจต้านภัยบุหรี่

2536(1993)
Health services , our window to a tobacco - free world.
บุคลากรสาธารณสุขร่วมสร้างสรรค์สังคมปลอดบุหรี่

2535(1992)
Tobacco free work places : Safer and healthier.
ที่ทำงานปลอดบุหรี่ สุขภาพดี ชีวีปลอดภัย

2534(1991)
Public places and transport : Better be tobacco free.
สถานที่สาธารณะและยวดยานปลอดบุหรี่

2533(1990)
Growing up without tobacco.
เติบโตอย่างสดใส ห่างไกลจากภัยบุหรี่

2532(1989)
Women and Tobacco : Added risk.
พิษของบุหรี่ต่อสตรี ยิ่งมีมากกว่าบุรุษ

2531(1988)
Between tobacco and the health , choose health
บุหรี่หรือสุขภาพ ต้องเลือกสุขภาพ

ผิวสวยด้วยคอลลาเจน

คอลลาเจน คือ โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังของร่างกาย
ซึ่งสานกันเป็นเครือข่ายชั้นผิวหนัง และเป็นโปรตีนสำคัญต่อความแข็งแรง
ของผนังหลอดเลือด และช่วยสร้างความตึงกระชับให้ผิว โดยจะทำงานร่วมกับ
โปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า
อีลาสติน

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสลายตัวของคอลลาเจน คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากมลพิษต่างๆ
เช่น บุหรี่ แสงแดด สารปนเปื้อนในอาหาร และจากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป
การผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น
เมื่อขาดคอลลาเจน
ผิวพรรณที่เคยเต่งตึงจะเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ความยืดหยุ่น
และความชุ่มชื้นของผิวลดลง

การเติมคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อหวังผลในการชะลอริ้วรอย ในวงการแพทย์สามารถ
ทำได้โดยการฉีดคอลลาเจนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนในเครื่องสำอางก็มีการนำ
คอลลาเจนไปผสม สังเกตได้จากฉลากที่ระบุส่วนผสมของ ไฮโดรไลซ์
คอลลาเจนไฮโดรไลซ์ อีลาสติน โปรคอลลาเจน เอเอชเอ

นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
ซึ่งจะช่วยชะลอการสลายตัวของคอลลาเจน
และช่วยลดการเกิดมะเร็งในร่างกายอีกด้วย
สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็ได้แก่ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูง
ในการกำจัดอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรง
ของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน



แข็งแรงได้... เริ่มต้นง่ายๆ จาก 1 ก้าวเดิน

บางครั้งการเดินออกกำลังกายก็ไม่ใช่สักแต่ว่าเดินๆๆ เพราะหนึ่งก้าวของคุณ
มีความหมายมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะก้าวออกไปแบบไหน
ให้ร่างกายแข็งแรง แต่เรามีเคล็ดลับมาบอก

1. เริ่มจากหารองเท้าที่ใส่สบาย เดินนานๆ แล้วไม่เจ็บ เวลาซื้อก็อาจจะซื้อรองเท้า
สำหรับวิ่ง แล้วหาสถานที่กว้างๆ อย่าง สวนสาธารณะ หรือพื้นที่ในหมู่บ้าน

2. เดินได้เลย ทุกๆ 30 วินาทีให้เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับความเร็ว
ที่คุณคิดว่าพอสำหรับการเดินเร็ว

3. เมื่อคุณเดินเร็วจนถึงจุดสูงสุด คอยรักษาระดับนี้ไปเรื่อยประมาณ 30 นาที
แต่ต้องมั่นใจว่าเดินไม่ใช่การวิ่งจนเหนื่อยหอบ แต่ในครั้งแรกๆ คุณอาจใช้เวลา
ประมาณ 10 นาทีก็ได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาให้นานขึ้นทุกๆ สัปดาห์ และจะสังเกตุได้ว่า
ร่างกายคุณจะแข็งแรงมากขึ้น

4. นึกไว้อยู่เสมอว่าคุณเดินอย่างไร ต้องรู้ว่าตัวเองเดินอย่างถูกต้องหรือยัง เพราะถ้าไม่
คุณจะเจ็บข้อเท้าได้และปวดเมื่อยได้ วิธีเดินให้ถูกต้องคือ ให้ส้นเท้าแตะพื้นก่อน
แล้วค่อยๆ วางฝ่าเท้า และนิ้วเท้าหลังสุด เดินต่อไปด้วยฝ่าเท้าทั้งหมด

ทำไมคุณถึงต้องการการกอด

มือของคุณที่ยื่นออกไปกอดผู้อื่นเมื่อเวลาที่มีปัญหานั้น มีพลังมากกว่าที่คุณคาดคิดมาก
การค้นพบใหม่จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวอร์จิเนีย และมหาวิทยาลัย
แห่งรัฐวิสคอนซินระบุว่า มันช่วยทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตื่นตัวมีความ
เยือกเย็นลง นักประสาทวิทยาได้ให้สตรีที่สมรสแล้ว 16 คน มาอยู่ในสถานการณ์
ที่มีความเครียด (พวกเธอทราบดีว่าได้รับการช๊อคด้วยไฟฟ้าอ่อนๆ)
พอให้อาสาสมัครชายที่มีความเป็นเพื่อนเข้ามาจับมือสตรีเหล่านั้นแล้ว
ผลสแกนพบว่าส่วนของสมองที่ตอบสนองต่ออันตรายนั้นมีกิจกรรมลดน้อยลง
และผลยิ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้ที่ยื่นมือให้จับเป็นคู่สมรสของสตรีเหล่านี้เอง

ด๊อกเตอร์ เจมส์ โคแอน, Ph.D. หัวหน้านักวิจัย และศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยา
และวิทยาศาสตร์ด้านประสาทจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวอร์จิเนียระบุว่า
"ที่จิตใจผ่อนคลายลงอาจเป็นเพราะมีใครบางคนอยู่ที่นั่นคอยช่วยเหลืออยู่"
ส่วนการสัมผัสในรูปแบบอื่น เช่น การกอด, โอบไหล่ ก็ยังอาจช่วยลด
ความกระวนกระวาย และลดปริมาณฮอร์โมนความเครียดที่สมองผลิตลงได้



ชาร้อนยับยั้งอัลไซเมอร์

ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้ว
เพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้

ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออก
เฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า
การที่คุณดื่มชาเขียว
หรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะ
ในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิด
โรคอัลไซเมอร์
นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-
ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมอง
อันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย
1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผล
ได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า

ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่อง
การดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูก
ผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยา

ข้อดีดื่มน้ำบรรเทาหวัด

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ทำให้หลายคนที่ไม่ค่อยได้ดูแล
สุขภาพเป็นพิเศษมักเป็นหวัดได้ง่าย "โรคหวัด" เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้จะเป็นโรค
ที่ไม่ร้ายแรง แต่ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายเนื้อสบายตัว ทำให้มีอาการ
ปวดศรีษะ ตัวร้อน น้ำมูกไหล ไอ จาม มีเสมหะ ถ้าไม่ดูแลรักษาตัวให้ดีอาจก่อให้เกิด
โรคแทรกซ้อนตามมาได้

เมื่อเป็นหวัดแนะนำว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
เพราะน้ำสามารถช่วยเยียวยาร่างกายให้หายจากหวัดได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุที่ว่า..

1. น้ำช่วยละลายเสมหะไม่ให้เหนียว โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่น
2. ช่วยลดไข้หากไข้ขึ้นสูง น้ำนี่แหล่ะที่จะช่วยทำให้ร่างกายเย็นลงได้
3. ช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
4. ช่วยให้เยื้อบุจมูกที่บุช่องทางเดินหายใจส่วนบนทำหน้าที่ได้ดีขึ้น จึงช่วยลด
อาการคัดจมูก
5. ช่วยป้องกันการติดเชื้อ และอักเสบ
6. ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายฟื้นจากอาการไข้ได้เร็วขึ้น

นอกจากนั้น หากอยากดื่มเครื่องดื่มที่มีรสชาติมากขึ้น แนะนำให้ลองดื่มน้ำผลไม้
ที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำกีวี น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ เพราะวิตามินซีช่วยให้
อาการหวัดหายเร็วขึ้นภาพประกอบจาก http://www.epa.gov/safewater/ccr/psa/images/psa_example.jpg

ส่วนคนที่มีอาการเจ็บคอสามารถบรรเทาอาการโดยใช้เกลือ
ละลายน้ำอุ่นกลั้วคอ 2-3 วันติดต่อกัน
อาการจะทุเลาลงโดยไม่ต้องใช้ยา