วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

Google





กูเกิลถือกำเนิด ขึ้นจากนักศึกษาระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด 2 คน ชื่อ เซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) และ ลาร์รี เพจ (Larry Page) บรินเกิดในมอสโกในปี 2516 ย่าของเขาเป็นชาวรัสเซีย เรียนจบทางด้านจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยชิคาโก แต่เธอกลับเชื่อในระบอบคอมมิวนิสต์ จึงหวนกลับไปที่มอสโก โดยหวังจะช่วยสหภาพโซเวียตสร้างชาติในปี 2464 ปู่ของเขาเป็นศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ทำงานอยู่ในมอสโก ภายหลังพ่อของเขาหนีออกมาจากรัสเซีย และสมัครเข้าเป็นอาจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ ส่วนแม่ของเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่ NASA บรินเรียนเก่งมากตั้งแต่ยังเล็ก เขาสามารถเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้ในขณะที่เรียนอยู่โรงเรียนมัธยม และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมในสาขาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในขณะที่มีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาเข้าเรียนที่สแตนด์ฟอร์ด จากทุน National Science Foundation พ่อของเขาจึงหวังว่าเขาจะจบการศึกษาระดับปริญญาเอก และเป็นศาสตราจารย์เหมือนอย่างตัวเอง นอกจากจะชอบทางด้านวิชาการแล้ว บรินยังเป็นคนขี้เล่น และชอบกิจกรรมและกีฬาต่างๆ เช่น กายกรรม เล่นเรือ ยิมนาสติก รวมทั้งยังเข้าร่วมโครงการที่มีความหลากหลายด้วย เช่น การสืบค้นการละเมิดลิขสิทธิ์อัตโนมัติ และการจัดอันดับภาพยนตร์





Sergey Brin (เซอร์เก บริน)







Larry Page (ลาร์รี่ เพจ)

ส่วน พ่อของเพจซึ่งเสียชีวิตในขณะที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยเทอม 2 จากโรคปอดอักเสบเป็นคนแรกๆ ที่จบสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี 2503 และจบปริญญาเอกในสาขาเดียวกันในอีก 5 ปีต่อมา แม่ของเขาจบระดับปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และเป็นที่ปรึกษาทางด้านการรวบรวมฐานข้อมูล (database) แม่ของเขาก็หวังให้เขาเป็นศาสตราจารย์เหมือนอย่างพ่อ เพจเล่าว่าเขามีคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในปี 2521 เนื่องจากมันมีราคาแพงมาก จากนั้นมาครอบครัวของเขา จึงต้องอยู่อย่างอัตคัด เขาชอบคอมพิวเตอร์มาก และสามารถใช้มันทำการบ้านได้ตั้งแต่ชั้นประถม รวมทั้งยังสามารถประกอบเครื่องพิมพ์ ด้วยเลโก้ได้ตั้งแต่เรียนมัธยม เขาเรียนต่อทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และสำเร็จวิชาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี 2538

หลังจาก ที่เพจและบรินพบกันครั้งแรกในฤดูร้อนปี 2538 ทั้งสองก็กลายเป็นคู่หูกันทันที ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเขาทั้งสองมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน นั่นคือ 1)คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังเล็ก 2)อาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย 3)มีพ่อเป็นศาสตราจารย์และมีแม่ที่ทำงานทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี แม้ว่าในเวลานั้นบรินจะมีอายุน้อยกว่าเพจ และเพื่อนคนอื่นๆ ที่เรียนปริญญาเอกด้วยกัน แต่เขาก็มาอยู่ที่สแตนด์ฟอร์ดได้ 2 ปีแล้ว และสามารถสอบผ่านวิชาพื้นฐาน ของระดับปริญญาเอกทั้ง 10 วิชาได้ในการสอบครั้งแรกด้วย ทั้งสองมักทำงานและอยู่ร่วมกันเสมอ เมื่อเพจย้ายไปอยู่ชั้น 3 ในตึกใหม่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคของบิลล์ เกตส์ในเดือนมกราคมปี 2539 บรินซึ่งถูกจัดให้อยู่ที่ตึกอื่นก็มาป้วนเปี้ยนอยู่กับเพจเป็นประจำ

ใน ช่วงเวลานั้นทั้งสองให้ความสนใจกับระบบการค้นหาข้อมูล แต่ระบบการค้นหาข้อมูลในโลก ที่มีอยู่ไม่สามารถทำงานได้ดีนัก แม้แต่โปรแกรมของเจอร์รี่ หยาง และเดวิด เฟโล ที่เรียกว่า Yahoo ที่ใช้วิธีจ้างทีมบรรณาธิการเลือกเว็บไซต์ตามลำดับอักษร มาเรียงกันก็เป็นระบบที่ไม่ดีเพราะการค้นหาข้อมูลจากระบบนี้ เป็นไปด้วยความยากลำบาก และไม่สามารถก้าวทันกับปริมาณเว็บที่มีเพิ่มขึ้นทุกวันได้ ส่วนระบบการค้นหาข้อมูลของ AltaVista นั้นแม้ว่าจะให้ผลเร็วกว่าและดีกว่าระบบอื่นๆ แต่ระบบนี้กลับปิดบังมิให้สามารถค้นหาข้อมูลที่เชื่อมต่อกับข้อมูลอื่นๆ ที่ปรากฏอยู่บนเว็บ เพจและบรินคิดว่าระบบการค้นหาข้อมูลที่ดี ควรที่จะมีข้อมูลทั้งหมดปรากฏอยู่ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อไปยังเว็บอื่นๆ ในปี 2539 ทั้งสองจึงเริ่มถ่ายโอนข้อมูลทั้งหมด มาสู่คอมพิวเตอร์ของตนเอง เพจตั้งทฤษฎีว่าเว็บที่มีคนเข้ามาดูมากกว่าแสดงว่าเป็นเว็บที่มีความนิยม และสำคัญมากกว่าจึงควรอยู่ในอันดับต้นๆ ของการค้นหา เขาเรียกระบบการให้อันดับการเชื่อมโยงว่า PageRank ตอนต้นปี 2540 ทั้งสองจึงพัฒนาระบบค้นหาข้อมูลใหม่ และตั้งชื่อว่า BackRub โครงการนี้สร้างความเข้าใจในระบบการค้นหาข้อมูลมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้การค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ได้รับการจัดอันดับอย่างตรงประเด็นด้วย เพื่อให้จดจำง่าย และดึงดูดใจมากขึ้น ในตอนปลายปีเดียวกันนั้นทั้งสอง จึงตั้งชื่อระบบค้นหาข้อมูลใหม่นี้ว่ากูเกิล หลังจากนั้นนักศึกษา และฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด ต่างก็นิยมใช้กูเกิล จนทำให้ทั้งสอง ต้องการคอมพิวเตอร์จำนวนมากขึ้นเพื่อเก็บข้อมูล

ใน เดือนมีนาคมปี 2541 เพจและบรินเกือบขายลิขสิทธิ์ระบบการค้นหาข้อมูลนี้ให้กับ AltaVista ในราคา 1 ล้านดอลลาร์ แต่บริษัทแม่ของ AltaVista กลับไม่ยินดีซื้อเพราะพวกเขาไม่อยากพึ่งบริษัทอื่น แม้ว่าทั้งสองจะตื่นเต้น กับระบบการค้นหาข้อมูลของตนเอง ที่ทำให้ผู้ค้นหาข้อมูลได้ข้อมูลที่ตรงประเด็นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีบริษัทใดเห็นโอกาสจากระบบนี้ แม้แต่ Yahoo ซึ่งต้องการระบบในการค้นหาข้อมูลที่ดีกว่าที่มีอยู่ก็ตาม เดวิด เฟโล ผู้ร่วมก่อตั้ง Yahoo ยังแนะนำให้ทั้งสองเปิดบริษัทเพื่อพิสูจน์ว่า ระบบของพวกเขามีศักยภาพในการค้นหาข้อมูลได้ดีที่สุด และพวกเขาควรออกแบบธุรกิจที่เหมาะสม กับระบบที่พวกเขาคิดค้นขึ้น หลังจากที่พวกเขาถูกปฏิเสธ จากหลายบริษัท พวกเขาจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับการพัฒนาระบบ เพื่อใช้กันภายในมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ดเท่านั้น

หลังจากที่เพจและ บรินพยายามพัฒนาระบบค้นหาข้อมูลต่อไปจนกระทั่งเงินหมด ในเดือนสิงหาคมปี 2541 ทั้งสองจึงไปพบกับแอนดี้ เบคโทลไชม์ ผู้ซึ่งชื่นชอบที่จะลงทุนให้กับบริษัทเปิดใหม่ทางด้านเทคโนโลยี แม้ว่าเบคโทลไชม์ จะยังคงสงสัยว่าระบบนี้จะทำเงินได้อย่างไร แต่เขาก็รู้สึกสนใจในระบบค้นหาข้อมูลรวมทั้งพึงพอใจ กับวิธีการคิดของทั้งสองจึงยินดีที่จะลงทุนให้ 100,000 ดอลลาร์โดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนบริษัท หลังจากรับเช็คใบนี้ 2 สัปดาห์ Google.Inc ก็ถือกำเนิดขึ้น ทั้งสองลาออกจากมหาวิทยาลัยในฤดูใบไม้ร่วงปี 2541 และย้ายเข้าไปเช่าบ้านอยู่ที่ Menlo Park โดยเสียค่าเช่า 1,700 ดอลลาร์ และจ้าง Craig Silverstein เพื่อนที่เรียนปริญญาเอกด้วยกันเป็นพนักงานคนแรกของบริษัท บริษัทกูเกิลถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 กันยายน 2541

หลังจากนั้นห้าเดือน บริษัทก็ใหญ่เกินกว่าขนาดของบ้านเช่า พวกเขาจึงต้องย้ายไปอยู่ที่ University Avenue ใน Palo Alto เพจและบรินยังคงไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจของพวกเขาทำเงิน เมื่อต้องจ้างพนักงานเพิ่ม ทั้งสองจึงต้องใช้เหตุผลต่างๆ นานาเพื่อชักจูงให้คนอื่นมาทำงานด้วย เช่น ให้หุ้นให้น้ำและขนมขบเคี้ยวฟรี และทำให้ผู้สมัครเห็นว่าคนอื่นๆ จะชื่นชมระบบค้นหาข้อมูลนี้ เมื่อผู้ใช้ระบบค้นหาข้อมูลเริ่มไม่ได้รับความพึงพอใจจากระบบเก่าๆ ที่มีอยู่ พวกเขาก็หันมาใช้กูเกิลเพิ่มขึ้นจนทำให้นิตยสารพีซี ยกย่องให้กูเกิลติดหนึ่งในร้อยของเว็บที่มีคนใช้มากที่สุด ส่งผลให้บริษัทเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว

หลัง จากใช้เงินจากผู้ร่วมทุนซื้อคอมพิวเตอร์เพิ่มจนหมด ทั้งสองจึงพยายามขายระบบการค้นหาข้อมูลนี้ให้กับบริษัทอื่นๆ แต่กลับไม่มีใครสนใจ แม้ว่าทั้งสองไม่ต้องการสูญเสียการควบคุมบริษัทไป แต่ในที่สุดก็ต้องพึ่งนักลงทุนภายนอกอีกครั้ง พวกเขาไปติดต่อกับจอห์น โดเออร์ นักลงทุนที่เคยสนับสนุน Compaq, Sun, American Online และ Amazon.com และไมเคิล มอริทซ์ แม้ว่านักลงทุนทั้งคู่จะยังไม่ทราบว่าทั้งสองมีแผนทางธุรกิจอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าระบบที่ทั้งสองพัฒนาขึ้นน่าจะมีความสำคัญในอนาคต พวกเขาจึงยินดีลงทุนให้คนละ 12.5 ล้านดอลลาร์ โดยยังยินดีให้เพจและบรินควบคุมบริษัทอยู่ โดยที่ทั้งสองต้องสัญญาว่า จะจ้างผู้บริหารที่มีประสบการณ์มาช่วยเปลี่ยนบริษัทของพวกเขาให้กลายเป็น ธุรกิจที่ทำเงินได้

วิธีการหารายได้ที่เพจและบรินตั้งใจจะทำ ก็คือขายระบบการค้นหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงนี้ให้กับองค์กร แม้ว่าในปี 2542 กูเกิลจะมีผู้เข้ามาใช้บริการถึงวันละ 7 ล้านครั้ง แต่รายได้ของพวกเขากลับน้อยมาก อย่างไรก็ดี ในที่สุดทั้งสองก็สามารถหาช่องทางในการโฆษณาได้ โดยที่ผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลไม่รู้สึกว่าถูกรบกวน กลยุทธ์ก็คือการโฆษณาอย่างตรงเป้าหมาย เมื่อผู้ใช้บริการหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ โดยที่หน้าแรกของเว็บไซต์จะไม่มีโฆษณาเลย การโฆษณาจะปรากฏขึ้นทางด้านบนของจอ เหนือข้อมูลที่ผู้ใช้บริการต้องการค้นหา ลักษณะของโฆษณาจะไม่มีรายละเอียดมาก และมีลักษณะเหมือนๆ กันหมด ในช่วงแรกบริษัทจะขายพื้นที่โฆษณาเองให้กับองค์กรใหญ่ๆ

ภายหลัง บริษัทเปลี่ยนวิธีการขายโฆษณา โดยให้ลูกค้าลงทะเบียนเอง และโฆษณาจะปรากฏขึ้นทันทีหลังลงทะเบียนเสร็จ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนลงได้มาก ส่วนลำดับโฆษณาบนหน้าจอ ก็เป็นไปตามค่าโฆษณาที่บริษัทได้รับ และตามความนิยมที่ผู้ใช้บริการเข้าไปดูโฆษณา โฆษณาที่ได้รับความนิยมมาก จะอยู่อันดับต้นๆ ทั้งสองอธิบายว่า การจัดอันดับตามนี้จะตรงประเด็นมากที่สุด นั่นหมายความว่า ยิ่งมีคนเข้าไปดูโฆษณามากเท่าใด แสดงว่าโฆษณานั้น ตรงประเด็นมากเท่านั้น นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถทำรายได้จากโปรแกรมใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ลงทะเบียนและเพิ่ม Google Search Box ลงในหน้าเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีผู้เข้าไปใช้กูเกิลได้มากขึ้น ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนและนำ Google Box เข้าไปในเว็บไซต์จะได้รับเงินคืน 3 เซนต์ หากมีคนเข้าไปใช้กูเกิลผ่านทางเว็บนั้นๆ ธุรกิจของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยาฮูบริษัทที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันทำสัญญาใช้บริการ การค้นหาข้อมูลของบริษัท ส่งผลให้กูเกิลกลายเป็นบริษัทผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในปี 2544 กูเกิลมีผู้ใช้บริการมากถึงวันละ 100 ล้านครั้ง หรือ 1,000 ครั้งต่อวินาที

นอกจากความสามารถในการบริการค้นหาข้อมูลแล้ว บริษัทยังมีนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย เช่น จับผิดคำที่สะกดผิด ค้นหาชื่อคนพร้อมเบอร์โทรศัพท์ ค้นหาภาพ ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้บริษัทเติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก เพจมักแซวคู่หูของเขาว่า การที่บริษัทต้องทำเงินให้ได้มากๆ เป็นเพราะบรินต้องการสร้างความประทับใจให้กับสาวๆ การเป็นประธานของบริษัท ที่ไม่ทำเงินมันไม่เท่ และไม่สามารถดึงดูดสาวๆ ได้ เมื่อสิ้นปี 2544 บริษัทสามารถทำกำไรเป็นครั้งแรกถึง 7 ล้านดอลลาร์

ไม่เพียงนวัตกรรมจะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ การบริหารของอีริค ชมิท CEO ก็มีส่วนสำคัญด้วย แท้ที่จริงแล้ว ชมิทซึ่งเป็นอดีต CEO ของบริษัท Novell มิได้ปรารถนาจะมาร่วมงานกับกูเกิล แต่เขาถูกโดเออร์ ผู้ที่ลงทุนให้กับกูเกิล บีบบังคับให้ไปคุยกับเพจและบริน ครั้งแรกทั้งสองก็ไม่ต้องการพบชมิทเช่นกัน แต่เนื่องจากทั้งสองรับปากนักลงทุนว่า พวกเขาจะหาผู้บริหารที่มีประสบการณ์ มาบริหารบริษัทให้ได้ พวกเขาจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำขอแกมบังคับของโดเออร์ได้ หลังจากที่ทั้งสองปฏิเสธผู้มาสมัครเป็น CEO ให้กับบริษัทคนแล้วคนเล่า ในที่สุดทั้งสองก็ยอมรับชมิท ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชมิทจบระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยพรินซตัน และจบปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์กเลย์ ก็เป็นได้ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะยินยอมให้ชมิทดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัท และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจที่จะบริหารบริษัทอย่างเต็มที่ ทั้งสองจึงบีบบังคับให้ชมิทต้องลงทุนด้วยเงินทุนของตัวเองในบริษัทด้วย ชมิทเห็นว่าหากเขาต้องบริหารกูเกิล เขาก็ควรได้หุ้นของบริษัทนี้ ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินมหาศาลได้ในอนาคตเช่นกัน ชมิทจึงตัดสินใจซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ของกูเกิล ด้วยเงินตนเอง 1 ล้านดอลลาร์ในช่วงที่บริษัทกำลังขาดเงินสดพอดี

หลังจากที่ชมิทเข้า มาบริหาร บริษัทก็พบกลยุทธ์ใหม่ในการโฆษณา นั่นคือการคิดค่าบริการ เฉพาะเมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลเข้าไปดูโฆษณาเท่านั้น วิธีการนี้ให้ความเป็นธรรมกับคู่ค้าของบริษัทมากขึ้น จึงทำให้กูเกิลมีลูกค้ามากขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังสามารถคิดวิธีการขายพื้นที่โฆษณาบนเว็บของกูเกิลใหม่ นั่นคือให้ผู้ที่ต้องการซื้อพื้นที่ประมูลกัน ผู้ซื้อพื้นที่จะประเมินเองว่า การโฆษณาสามารถเปลี่ยนเป็นรายได้มากน้อยเท่าใดจึงคุ้มกับค่าใช้จ่าย กลยุทธ์การขายพื้นที่โฆษณาทั้งสองแบบนี้ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่ม ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ประวัติของ twitter

Twitter




Twitter (มาจากรากศัพท์คำว่า tweet ที่แปลว่า เสียงนกร้อง) หมายถึง Unified Message ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็น Microblogging ที่ให้บริการเพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่าง เพื่อน ครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน สามารถเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย และแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว แบบ Real Time เพื่อเป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า "คุณกำลังทำอะไรอยู่" ซึ่ง Twitter ก่อตั้งขึ้นโดยบริษัท Obvious Corp เมื่อเดือน มีนาคม ค.ศ. 2006 ที่เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา พัฒนาขึ้นโดย Evan Williams และ Meg Hourihan Evan Williams คือคนเดียวกับที่สร้างบริการบล็อก ที่นิยมมากที่สุดในโลก ในขณะนี้ นั่นคือ Blogger.com นั่นเอง หลายคนคงพอทราบกันนะค่ะ ว่า Blogger.com ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Pyra Labs ก่อร่างสร้างตัวขึ้นตั้งแต่สิงหาคม ปี 1999

และหลังจากนั้น 3 ปี ทาง Google ก็เข้ามาขอซื้อกิจการไปในปี 2002 เพื่อไปเติมเต็มบริการ อีกทั้งขยายกลุ่มผู้ใช้ให้ได้มากขึ้น แต่ Williams ถอนตัวออกจาก Google มาร่วมงานกับ Odeo เมื่อ ปี 2004 และเมื่อไม่นานมานี้ Williams ได้ออกมาร่วมงาน กับ Obvious Corp ,ในปี 2006 ซึ่งมี Twitter เป็น Product หลักของบริษัท เป้าหมายของ Obvious Corp คือ สร้างสรรค์สิ่งที่น่าสนใจและมีความสำคัญ ต่อโลก Meg Hourihan คือผู้ร่วมก่อตั้งอีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นคู่หูของ Evan Williams นั่นเอง ภาพพจน์ของเธอก็ยังเป็นบล็อกเกอร์ อยู่ต่อไป และตอนนี้เธอก็แต่งงานแล้วกับ Jason Kottke ซึ่งนับแล้วก็เป็นบล็อกเกอร์เหมือนกัน ทั้งสองเคยเป็นบุคคลแห่งปี ที่ทาง PC Magazine มอบให้ในปี 2004 และตอนนั้นเอง

ค.ศ. 2009 ทวิตเตอร์ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างมาก จนนิตยสาร ไทม์ฉบับวันที่ 15 มิ.ย. 2009 ได้นำเอาทวิตเตอร์ขึ้นปก เป็นเรื่องเด่นประจำฉบับ และบทบรรณาธิการกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงการนำเสนอข่าว ที่มีที่มาจากเทคโนโลยีใหม่อย่างทวิตเตอร์ บริการของ Twitter นั้น ถึงจะเป็นแค่บริการเล็กๆ แต่ตอนนี้ บริการเล็กๆ ที่ว่านี้ ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม มีผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก ทั้งหมดทั้งมวลนี้ สานต่อจากการเป็นบล็อกเกอร์แค่คนๆหนึ่งจริงๆ

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิต



ผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิต
รังสีที่แผ่ออกจากธาตุกัมมันตรังสีเมื่อผ่านเข้าไปในสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จะทำให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออนของอะตอมตามแนวทางที่รังสีผ่านไป ทำให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต 2 แบบ คือ

1. ผลของรังสีที่มีต่อร่างกาย คือ เกิดเป็นผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วง เซลล์ตาย เป็นแผลเปื่อย เกิดเนื้อเส้นใยจำนวนมากที่ปอด (fibrosis of the lung) เกิดโรคเม็ดโลหิตขาวมาก (leukemia) เกิดต้อกระจก (cataracts) ขึ้นในนัยน์ตา เป็นต้น ซึ่งร่างกายจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ได้รับส่วนของร่างกายที่ได้ และอายุของผู้ได้รับรังสี ดังนั้นผู้ได้รับรังสีมีอายุน้อยแล้วอันตรายเนื่องจากรังสีจะมีมากกว่าผู้ที่มีอายุมาก ในทารกแรกเกิดแล้วอาจได้รับอันตรายถึงพิการหรือเสียชีวิตได้

2. ผลของรังสีที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ คือ ทำให้โครโมโซม (chromosome) เกิดการเปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ลูกหลานเกิดเปลี่ยนลักษณะได้

การป้องกันรังสี
รังสีทุกชนิดมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น จึงต้องทำการป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสี หรือได้รับแต่เพียงปริมาณน้อยที่สุด ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากต้องทำงานเกี่ยวข้องกับรังสีแล้ว ควรมีหลักยึดถือเพื่อปฏิบัติดังนี้

1. เวลาของการเผย (time of exposure) โดยใช้เวลาในการทำงานในบริเวณที่มีรังสีให้สั้นที่สุด เพราะปริมาณกำหนดของรังสีจะแปรตรงกับเวลาของการเผย

2. ระยะทาง (distance) การทำงานเกี่ยวกับรังสีควรอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีมาก ๆ ทั้งนี้เพราะความเข้มของรังสีจะแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทาง คือ เมื่อ d คือระยะทาง

3. เครื่องกำบัง (shielding) เครื่องกำบังที่วางกั้นระหว่างคนกับแหล่งกำเนิดรังสีจะดูดกลืนบางส่วนของรังสีหรืออาจจะทั้งหมดเลยก็ได้ ดังนั้นในกรณีที่ต้องทำงานใกล้กับสารกัมมันตรังสีและต้องใช้เวลานานในการปฏิบัติงาน เราจำเป็นต้องใช้เครื่องกำบังช่วยเครื่องกำบังที่ดีควรเป็นพวกโลหะหนัก เพราะว่าโลหะ หนักจะมีอิเล็กตรอนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้รังสีเมื่อวิ่งมาชนกับอิเล็กตรอนแล้วจะสูญเสียพลังงานไปหมด ตัวอย่างของเครื่องกำบังเช่น แผ่นตะกั่ว แผ่นเหล็ก แผ่นคอนกรีต ใช้เป็นเครื่องกำบังพวกรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา แผ่นลูไซท์ควอทซ์ ใช้เป็นเครื่องกำบังรังสีเบตาได้ อากาศและแผ่นกระดาษ อาจใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคอัลฟา ส่วนน้ำและพาราฟินใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคนิวตรอนได้



พลังงานนิวเคลียร์

พลังงานนิวเคลียร์




พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานรูปหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ชาวผรั่งเศสชื่อ อังรีเบกเคอเรล ได้ค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อ พ.ศ. 2439 แต่คนทั่วไปเริ่มรู้จักพลังงานนิวเคลียร์หลังจากที่มีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2488 ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง มีผลทำให้สงครามโลกครั้งที่สองยุติ แต่ผลของระเบิดปรมาณูในครั้งนั้นได้ทำลายชีวิติมนุษย์ไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งอาคารบ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ นอกจากนี้ กัมมันตภาพรังสี ที่เกิดขึ้นจากการระเบิดยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและมีผลต่อผู้รอดชีวิตในระยะยาวอีกด้วย

หลังจากที่มนุษย์ได้รู้ถึงอำนาจทำลายของระเบิดปรมาณูแล้ว จึงได้ค้นคว้าวิจัย เพื่อนำพลังงานนิวเคลียร์ มาใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ จนในปัจจุบัน มีหลายประเทศ นำพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ ในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านการแพทย์ เกษตร และอุตสาหกรรม จนปัจจุบันนิวเคลียร์ได้เข้าไป มีบทบาท ในชีวิตประจำวันมากขึ้นทุกที แต่ส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้ สินค้าบางชนิด เช่น กระดาษ ปูนซิเมนต์ กระเบื้อง ยาสีฟัน อาจผลิตโดยใช้ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในการควบคุมคุณภาพ สำลี ผ้าก๊อซ พลาสเตอร์ปิดแผล เข็ม หลอดฉีดยา เหล่านี้เป็นเวชภัณฑ์ ที่ทำให้ปลอดเชื้อ โดยใช้รังสี ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของพลังงานนิวเคลียร์

พลังงานนิวเคลียร์คืออะไร ?

ในบรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรานี้ ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ นาฬิกา สร้อยคอ จาน ช้อน กำไลมือ สิ่งเหล่านี้จะประกอบไปด้วยอนุภาค ที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ อนุภาคนี้เรียกว่า อะตอม หรือ ปรมาณู อะตอมยังประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเรียกว่า นิวเคลียส อยู่ตรงกลาง นิวเคลียสมีขนาดประมาณ 1 ในพันล้านส่วนของ 1 เมตร เท่านั้น อีกส่วนเรียกว่า อิเล็คตรอน เคลื่อนที่รอบ ๆ นิวเคลียส ที่นิวเคลียสของธาตุนี่เอง ที่เป็นต้นกำเนิดของพลังงานนิวเคลียร์ แต่พลังงานนิวเคลียร์ จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ นิวเคลียสมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นมี 3 แบบ

แบบแรก เกิดจากการทำให้ นิวเคลียสของธาตุหนักแตกตัว

แบบที่สอง เกิดจากการทำให้ นิวเคลียสของธาตุเบารวมตัวเข้าด้วยกัน

แบบที่สาม เกิดจากการสลาย ของสารกัมมันตรังสีที่มี โครงสร้างของนิวเคลียสไม่คงตัว

พลังงานนิวเคลียร์ที่ถูกปล่อยออกมาจากนิวเคลียสนั้น มีหลายรูปแบบ ได้แก่ พลังงานความร้อน รังสีแกมมา อนุภาคบีต้า อนุภาคแอลฟา และอนุภาคนิวตรอน ซึ่งอาจจะ ถูกปลดปล่อยออกมาเพียงบางอย่าง หรือหลายๆ อย่างพร้อมกันก็ได้ กล่าวโดยสรุปอย่างง่ายๆ พลังงานนิวเคลียร์ก็คือ รังสีและอนุภาคต่างๆ ที่ออกมาจากนิวเคลียสของอะตอมดังนั้นการนำพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ประโยชน์ ก็เป็นการนำเอารังสี และอนุภาคต่าง ๆ ไปใช้นั่นเอง

พลังงานนิวเคลียร์ในประเทศไทย

ในประเทศไทย หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญ ในการนำพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ใน การพัฒนาประเทศ ก็คือ สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ เรียกย่อว่า พปส เป็นหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม พปส มีอุปกรณ์ทางนิวเคลียร์หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย ซึ่งใช้สำหรับผลิตสารกัมมันตรังสีที่จะนำไปใช้ในกิจการต่าง ๆ ต่อไป

*** การใช้พลังงานนิวเคลียร์ ***

ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้พลังงานนิวเคลียร์ ในกิจการต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งพอสรุปได้เป็น 3 ด้าน คือ การแพทย์ การเกษตร และอุตสาหกรรม

1. ด้านการแพทย์

มีการนำ เอาสารกัมมันตรังสี และรังสีมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค ทำให้การวินิจฉัยและรักษาโรคของแพทย์ เป็นไปอย่างถูกต้อง และรวดเร็ว สามารถบรรเทาความเจ็บปวด และช่วยชีวิต ของผู้ป่วยได้มากขึ้น ประโยชน์ในการใช้ สารกัมมันตรังสีทางการแพทย์มีหลายด้านเช่นด้านการตรวจวินิจฉัย ด้านการบำบัดโรค

จะเห็นว่าการนำสารกัมมันตรังสี มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ควบคู่ไปกับ การตรวจวินิจฉัยและการรักษาแบบอื่น จะก่อประโยชน์ ต่อคนไข้อย่างยิ่ง และนับวันศาสตร์ ด้านนี้จะก้าวหน้าขึ้นเรื่อง ๆ จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป

2. ด้านอุตสาหกรรม

มีการนำเอาพลังงานนิวเคลียร์ ไปใช้กันอย่างกว้างขวางเช่นกัน ในที่นี้จะขอกล่าวพอสังเขป 2 ตัวอย่าง คือ การปลอดเชื้อผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และ การตรวจสอบโครงสร้างภายใน

นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกมาก เช่น

ใช้ในการสำรวจหาแหล่งน้ำมันใต้ดิน ความชื้นในดิน ด้วยรังสีนิวตรอน

ควบคุมการไหลผ่านของส่วนผสมในการผลิตปูนซีเมนต์

ใช้วัดระดับของของไหล สารเคมีต่าง ๆ ในขบวนการผลิตในโรงงานเส้นใยสังเคราะห์ด้วยรังสี แกมมา

วัดความหนาแน่นในการดูดสินแร่ในทะเล เพื่อคำนวณปาปริมาณแร่ที่ดูด

ควบคุมความหนาแน่นของเนื้อยางที่เคลือบบนแผ่นผ้าใบในขบวนการผลิตยางรถยนต์

ควบคุมกระบวนการผลิตกระจกและกระดาษให้มีความหนาสม่ำเสมอ

ใช้เป็นเครื่องกำจัดประจุไฟฟ้าสถิตบนแผ่นฟิล์ม ฟิล์มภาพยนต์ เวชภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นต้น

3. ด้านการเกษตร

ประเทศไทยจัดว่าเป็นประเทศเกษตรกรรม เพราะประชากร กว่าร้อยละ 60 ยังคงยึดการเกษตรเป็นอาชีพหลัก ดังนั้น การค้นคว้าวิจัยทางการเกษตร เพื่อเพิ่มปริมาณ และคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเกษตรกร เพราะหมายถึงรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ของเกษตรกร ในปัจจุบัน ได้มีการใช้ เทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมเกษตร ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การกำจัดศัตรูพืช การปรับปรุงพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิต การเก็บถนอม รักษาผลผลิต ไม่ให้เสียหาย นอกจากนั้นก็ยังมี การทำหมันแมลงด้วยรังสี และ การทำน้ำมันยางวัลคาในช์ด้วยรังสี

นอกจากตัวอย่างทั้งสองที่กล่าวแล้ว ยังได้มีการใช้ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในกิจการเกษตรอื่น ๆ อีก เช่น

การถนอมผลผลิตทางการเกษตร เช่น พวกพืชผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ โดยการฉายรังสี เพื่อให้เก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์ในการขนส่งทางไกล

การใช้รังสีฉายพันธุ์พืช เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ให้ได้พันธุ์พืชที่มีผลผลิตสูงกว่า โตเร็วกว่า

การวิเคราะห์ดินโดยเทคนิคทางนิวเคลียร์ เพื่อการจำแนกพื้นที่เพาะปลูก ทำให้ทราบว่าพื้นที่ที่ศึกษาเหมาะสมต่อการปลูกพืชชนิดใด ควรเพิ่มปุ๋ยชนิดใดลงไป เป็นต้น


การนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในการพัฒนาประเทศที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีการประยุกต์ใช้พลังงานนิวเคลียร์ในด้านอื่น ๆ อีกมาก โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว การนำพลังงานนิวเคลียร์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันยิ่งแพร่หลายกว่าของเรามากทีเดียว


โรงไฟฟ้านิวเคลียร์

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จัดเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนชนิดหนึ่ง มีหลักการทำงาน คล้ายคลึงกับโรงไฟฟ้า ที่ใช้น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิง โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น สามารถแบ่งส่วนการทำงาน ได้ 2 ส่วน คือ

1. ส่วนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ จะใส่แท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ไว้ในน้ำภายในโครงสร้างที่ปิดสนิท เพื่อให้ความร้อน ที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน ไปต้มน้ำ ผลิตไอน้ำ แทนการผลิตไอน้ำ จากการสันดาปเชื้อเพลิง ชนิดที่ก่อให้เกิดก๊าซมลพิษ

2. ส่วนผลิตไฟฟ้า เป็นส่วนที่รับไอน้ำ จากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แล้วส่งไปหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า ซึ่งส่วนนี้ เป็นองค์ประกอบ ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนทุกชนิด

ส่วนประกอบของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ส่วนกำเนิดพลังงาน ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กล่าวโดยกว้างๆ จะประกอบด้วย เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ น้ำที่ใช้ระบายความร้อน และเป็นสารหน่วงความเร็วนิวตรอนด้วย ถังปฏิกรณ์ความดันสูง ระบบควบคุมปฏิกิริยา ระบบควบคุมความปลอดภัย ซึ่งช่วยป้องกันและแก้ไข กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และระบบผลิตไอน้ำ เป็นต้น

เชื้อเพลิงยูเรเนียม ที่ใช้ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยปกติจะมีความเข้มข้นของไอโซโทปยูเรเนียม-235 ประมาณร้อยละ 2 (ที่เหลือเป็นยูเรเนียม-238 ซึ่งไม่สามารถเกิดปฏิกิริยาฟิชชันได้ ในสภาวะของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไป) ในรูปออกไซด์ ของยูเรเนียม โดยได้มาจากการ ถลุงแร่ยูเรเนียม ที่มีอยู่ในธรรมชาติ (ไอโซโทปยูเรเนียม ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ประกอบด้วยยูเรเนียม-235 ประมาณร้อยละ 0.7 และเป็นยูเรเนียม-238 ประมาณร้อยละ 99.27 ที่เหลือเป็นยูเรเนียม-234 ปริมาณน้อยมาก) แล้วนำไปผ่าน กระบวนการเสริมสมรรถนะ ให้มีปริมาณยูเรเนียม-235 มากขึ้น และหลังจากที่ ทำให้อยู่ในรูปของออกไซด์ แล้วถูกอัดทำให้เป็นเม็ดเล็กๆ บรรจุภายในแท่งโลหะผสม ของเซอร์โคเนียม ซึ่งจะถูกนำมารวมกลุ่มกัน เป็นมัดเชื้อเพลิง ประกอบกันเป็นแกนปฏิกรณ์ บรรจุอยู่ภายในถังปฏิกรณ์ ที่ทนความดันสูง ภายในถังปฏิกรณ์ มีน้ำ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมความกดดันบรรจุอยู่ เพื่อใช้เป็นตัวระบายความร้อน ออกจากแท่งเชื้อเพลิงโดยตรง และยังใช้ประโยชน์ เป็นตัวหน่วงความเร็วของนิวตรอนด้วย เพื่อให้นิวตรอนที่เกิดขึ้น มีความเร็วพอเหมาะ ที่จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันต่อไปได้

ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน ในเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น ควบคุมได้โดยใช้แท่งควบคุม ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในการดูดจับอนุภาคนิวตรอน เช่น โบรอนคาร์ไบด์ ทำหน้าที่ควบคุม ให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์เพิ่มขึ้น หรือลดลง ตามที่ต้องการ โดยการเลื่อนแท่งควบคุมเข้าออก ภายในแกนปฏิกรณ์ตามแนวขึ้นลง เพื่อดูดจับอนุภาคนิวตรอนส่วนเกิน

แบบของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์


ปัจจุบันทั่วโลก ได้นิยมใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 3 แบบ ได้แก่

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบใช้น้ำความดันสูง (Pressurized Water Reactor : PWR)

1. โรงไฟฟ้าชนิดนี้ จะถ่ายเทความร้อน จากแท่งเชื้อเพลิงให้น้ำ จนมีอุณหภูมิสูงประมาณ 320 องศาเซลเซียส ภายในถังขนาดใหญ่ จะอัดความดันสูงประมาณ 15 เมกะปาสคาล (Mpa) หรือประมาณ 150 เท่าของความดันบรรยากาศไว้ เพื่อไม่ให้น้ำเดือดกลายเป็นไอ และนำน้ำส่วนนี้ ไปถ่ายเทความร้อน ให้แก่น้ำหล่อเย็นอีกระบบหนึ่ง เพื่อให้เกิดการเดือด และกลายเป็นไอน้ำออกมา เป็นการป้องกัน ไม่ให้น้ำในถังปฏิกรณ์ ซึ่งมีสารรังสีเจือปนอยู่ แพร่กระจายไปยังอุปกรณ์ส่วนอื่นๆ ตลอดจนป้องกัน การรั่ว ของสารกัมมันตรังสี สู่สิ่งแวดล้อม

2. โรงไฟฟ้าแบบน้ำเดือด (Boiling Water Reactor : BWR)



สามารถผลิตไอน้ำได้โดยตรง จากการต้มน้ำภายในถัง ซึ่งควบคุมความดันภายใน (ประมาณ 7 Mpa) ต่ำกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบแรก (PWR) ดังนั้น ความจำเป็น ในการใช้เครื่องผลิตไอน้ำ และแลกเปลี่ยนความร้อน ปั๊ม และอุปกรณ์ช่วยอื่นๆ ก็ลดลง แต่จำเป็นต้อง มีการก่อสร้างอาคารป้องกันรังสีไว้ ในระบบอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ของโรงไฟฟ้า เนื่องจากไอน้ำจากถังปฏิกรณ์ จะถูกส่งผ่านไปยังอุปกรณ์เหล่านั้นโดยตรง

3. โรงไฟฟ้าแบบใช้น้ำมวลหนักความดันสูง (Pressurized Heavy Water Reactor : PHWR)



ซึ่งประเทศแคนาดา เป็นผู้พัฒนาขึ้นมา จึงมักเรียกชื่อย่อว่า “CANDU” ซึ่งย่อมาจากคำว่า Canadian Deuterium Uranium มีการทำงานคล้ายคลึงกับ แบบ PWR แต่แตกต่างกันที่ มีการจัดแกนปฏิกรณ์ในแนวระนาบ และเป็นการต้มน้ำ ภายในท่อขนาดเล็ก จำนวนมาก ที่มีเชื้อเพลิงบรรจุอยู่ แทนการต้มน้ำ ภายในถังปฏิกรณ์ขนาดใหญ่ เนื่องจากสามารถผลิตได้ง่ายกว่า การผลิตถังขนาดใหญ่ โดยใช้ น้ำมวลหนัก” (Heavy Water, D2O) มาเป็นตัวระบายความร้อน จากแกนปฏิกรณ์ นอกจากนี้ ยังมีการแยกระบบใช้น้ำมวลหนัก เป็นตัวหน่วงความเร็ว ของนิวตรอนด้วย เนื่องจากน้ำมวลหนัก มีการดูดกลืนนิวตรอน น้อยกว่าน้ำธรรมดา ทำให้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ เกิดขึ้นได้ง่าย จึงสามารถใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียม ที่สกัดมาจากธรรมชาติ ซึ่งมียูเรเนียม-235 ประมาณร้อยละ 0.7 ได้ โดยไม่จำเป็น ต้องผ่านกระบวนการปรังปรุง ให้มีความเข้มข้นสูงขึ้น ทำให้ปริมาณผลิตผล จากการแตกตัว (fission product) ที่เกิดในแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้ว มีน้อยกว่าเครื่องปฏิกรณ์ แบบใช้น้ำธรรมดา


Ukulele


Ukuleleอูคูเลเล่




"Ukulele" เป็นภาษาฮาวายเอี้ยน ความหมายของคำว่า "ukulele" ถูกแยกเป็นสองคำคือ "uku" ซึ่งแปลว่า "ของขวัญหรือรางวัล" ส่วนคำว่า "lele" แปลว่า "การได้มา" ดังนั้นเมื่อนำสองคำนี้มารวมกัน จึงแปลความหมายได้ว่า "ของขวัญที่ได้มา"

Ukulele
อาจจะเป็นเครื่องดนตรีชิ้นใหม่สำหรับใครบางคน แต่สำหรับนักดนตรี หรือผู้คนบนเกาะฮาวาย(Hawaii) เจ้า Ukulele เป็นเครื่องดนตรีที่เป็นเสมือนศิลปะ และวัฒนธรรมของชาวฮาวายเอี้ยน เครื่องดนตรีชิ้นนี้ ถูกเล่นในงานรื่นเริงต่างๆ ในทุกๆ เทศกาล Ukulele กลายเป็นเครื่องดนตรี
ชิ้นเอกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งบนเกาะฮาวาย ดังนั้น ชาวฮาวายเอี้ยนกับอูคูเลเล่(Ukulele) จึงแยกจากกันไม่ออก!

Ukulele คืออะไร?
เครื่องดนตรีที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก สวยสะดุดตาเมื่อแรกเห็น
และตัวจิ๋วเล็กนิดเดียว ในชื่อ "Ukulele" (ออกเสียงว่า อูคูเลเล่)
บางท่านเรียกอีกชื่อสั้นๆ ว่า อุ๊ค (Uke)

เครื่องดนตรีชิ้นนี้เกิดมาก่อนสงครามโลกสะอีก อายุอานามไม่แพ้อะคูสติกกีต้าร์ เพียงแต่ว่าเครื่องดนตรีทั้งสองมีการกำเนิด และมีการพัฒนาที่แตกต่างกันกีต้าร์โปร่งโด่งดังและพัฒนามาจากอเมริกา และ Ukulele เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาจากเกาะฮาวาย เกิดมาก่อนยุคสงครามโลก ต่อมาช่วงยุค 60's เจ้า Ukulele ขึ้นมาโด่งดังและรู้จักกันแพร่หลายมากขึ้น เพราะมีนักดนตรีโฟล์คซอง และแจ๊ส ได้นำมันไปเล่นตามสถานที่ต่างๆ ทำให้ผู้คนทั่วไปเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา และรู้จักกับเจ้า Ukulele มากขึ้น

ผู้คนต่างแดนเริ่มพบเห็น และรู้จักเจ้า Ukulele อย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่นวง The Kingston Trio (American Folksong) เป็นวงโฟล์คซอง ก่อนยุค Peter Paul & Mary, ซึ่งเป็นวงดนตรีโฟล์คซองที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ทั้ง David Guard และ Bob Shane เกิดและโตมาจากเกาะฮาวาย เล่น Ukulele มาตั้งแต่เด็ก หรือแม้กระทั้งสมาชิกวง "The Beatles" ยังเคยนำเจ้า Ukulele ไปใช้ ยังรวมทั้ง "Elvis Presley"

ในช่วงยุค 80's Ukulele เริ่มตกกระแส ความนิยม การนำมาใช้เล่น และการกล่าวถึงเริ่มจางลงจนแทบจะหายไป!

ต่อมาในช่วงปี 1990 เกิดกระแสขึ้นอีกครั้ง เมื่อเกิดศิลปิน Israel Kamakawiwo'ole(IZ) นักดนตรีจากเกาะฮาวาย ด้วยเอกลักษณ์ตัวอ้วนใหญ่คล้ายกับยักษ์ แต่เลือกที่จะเล่น Ukulele ตัวจิ๋วเป็นเครื่องดนตรีคู่กาย

IZ
จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก กระแส IZ จึงเกิดมาพร้อมกับ Ukulele เพลงของ IZ ยังถูก
ไปใช้เป็นเพลงประกอบหนังอยู่เป็นระยะๆ ชายร่างยักษ์ IZ ได้ร้องและเล่นบทเพลง "Over the Rainbow/What a Wonderful World" ซึ่งทำให้ผู้คนเริ่มหลงเสน่ห์ในเสียงของ ukulele เข้าอย่างจัง!

ปลายยุค 90's หลังจากที่ Ukulele เริ่มแพร่หลายในอเมริกา เจ้า Ukulele ยังไปมีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย เพราะเด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นฮาวาย ฝีมือขั้นเทพนามว่า "Jake Shimabukuro" ได้นำ Ukulele มาเล่นเพลงได้อย่างน่าทึ่ง