วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Louis Pasteur

ประวัติ

หลุยส์ ปาสเตอร์ เกิดในปี ค.ศ.1822 ที่เมืองเล็กๆในประเทศฝรั่งเศส บิดาของเขาต้องการให้หลุยส์ เป็นครูจึงส่งเข้าไปเรียนที่กรุงปารีส จนสำเร็จการศึกษาและได้เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุได้32ปี จุลชีพเป็นสิ่งที่ปาสเตอร์สนใจมากทุกคนรู้ว่าเนื้อจะเน่าเปื่อยหากทิ้ง เนื้อไว้กลางแจ้งและทุกคนสามารถมองเห็นตัวจุลชีพในเนื้อได้ด้วย กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายมากแต่ไม่มีใครรู้ว่าจุลชีพมาจากที่ใด นักวิทยาศาสตร์หัวโบราณคิดว่าเนื้อเน่าทำให้เกิดพวกมัน แต่ปาสเตอร์ ไม่ค่อยแน่ใจนัก เขากลับไปยังวิทยาลัยที่เคยเรียนในกรุงปารีสซึ่งเขา ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการทางวิชาวิทยาศาสตร์ เขาใช้เวลา ทั้งหมดของเขาทำการค้นคว้าเรื่องจุลชีพ ในที่สุดหลุยส์ก็ค้นพบว่า จุลชีพนั้นเกิดจากฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศมิใช่มาจากอาหารที่ บูดเน่า เขาพิสูจน์โดยการนำเอาขวดซุปเนื้อขึ้นไปบนภูเขาแอลป์ซึ่ง มีอากาศบริสุทธิ์และไม่มีฝุ่นละอองเขาเปิดขวดเหล่านั้นและปล่อยทิ้งไว้ เขาพูดถูกน้ำซุปไม่เสีย บนหิ้งต่างๆของพิพิธภัณฑ์ปาสเตอร์ในกรุงปารีส มีขวดปิดไว้ซึ่งจัดทำขึ้นโดยปาสเตอร์น้ำซุปเนื้อในนั้นยังคงไม่บูดเน่า หลังจากนานกว่าร้อยปี การค้นคว้านี้ทำให้เกิดอาหารกระป๋องที่เรา รู้จักกันทุกวันนี้ ต่อมาปาสเตอร์ได้ทำการทดลองเพื่อหาวิธีรักษา โรคกลัวน้ำ หลังจากทำการทดลองที่เสี่ยงอันตรายหลายครั้งเขาก็ ประสบผลสำเร็จซึ่งการค้นพบวิธีรักษาโรคกลัวน้ำใหความหวังแก่ ผู้คนในหลายประเทศ หลุยส์ ปาสเตอร์ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1895 มีผู้คนมากมายโศกเศร้าต่อการเสียชีวิตของเขา เขาไม่เพียงแต่เป็น นักวิทยาศาสตร์เท่านั้นแต่ยังเป็นบุคคลสำคัญอีกด้วย


วันหนึ่ง ๆ นั้นช่างยาวนานเหลือเกิน สำหรับผู้คนที่ยากจนที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านเชิงเขาชื่อ ยูรา (Jura) ในประเทศฝรั่งเศส ลำพังแต่เสียงเห่าหอนของสุนัขป่าบ้าคลั่งที่ดังมาแต่ไกล ก็เพียงพอที่จะสะกดให้ทุกคนรีบวิ่งเข้าบ้าน ปิดประตูลงกลอน จะโผล่ออกมาอีกครั้งก็ต่อเมื่อเสียงนั้นค่อยๆ จางหายไปในป่าทึบแล้ว

ช่างเป็นเหตุบังเอิญอะไรเช่นนั้น ที่มีชายฝรั่งเศสตระกูลต่ำต้อยคนหนึ่งตั้งแต่วัยเด็กมาแล้ว ก็ได้ยินเสียงเห่าหอนของสุนัขป่า และก็ต้องคอยวิ่งหนีเข้าบ้าน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเดียวกัน. อย่างไรก็ดีทั้ง ๆ ที่พยายามกักตัวเองอยู่แต่ภายในบริเวณลานตากหนังสัตว์ของบิดาซึ่งมีอาชีพเป็นช่างฟอกหนัง แต่เขาก็ได้กลายเป็นนักค้นพบผู้ยิ่งใหญ่ สามารถช่วยชีวิตมนุษย์นับแสนนับล้านคน มิให้ตกเป็นเหยื่อของโรคพิษสุนัขบ้า ที่ในสมัยนั้นถือว่า ถ้าใครถูกพิษของมันเข้าแล้ว ก็เท่ากับต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต

อาการเช่นนี้ มิใช่เกิดเฉพาะแต่ในประเทศฝรั่งเศสแห่งเดียว...ทุกแห่งที่มีสุนัข ไม่ว่าจะเป็นสุนัขป่าหรือสุนัขบ้าน เมื่อมันเกิดเป็นบ้าขึ้นมา เที่ยวกัดใครต่อใคร ทุกคนที่ถูกพิษของมัน จะไม่มีทางรอด...นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต่างตระหนักถึงพิษภัยร้ายกาจนี้ และพยายามค้นคว้าเพื่อหาทางเอาชนะโรคร้ายนี้ให้จงได้

ในบรรดานักวิทยาศาสตรที่ศึกษาค้นคว้านี้ก็มีหลุยส์ปาสเตอร์(Louis Pasteur) รวมอยู่ด้วย. ท่านเป็นนักบัคเตรีวิทยา. ท่านได้ค้นพบยาที่รักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ชะงัดว่าเพื่อน. ที่คลินิกท่านที่กรุงปารีส ในช่วง 12 เดือนของปี 1886 มีคนไข้ที่ถูกพิษสุนัขบ้ามาขอรับการรักษา 2,671 ราย. มีเพียง 25 รายเท่านั้นที่เสียชีวิต...นอกนั้นได้รับการรักษาให้หายทั้งหมดเรียกว่าหายกว่า 99%. ในระยะต่อๆ มา หลังจากที่ได้มีการปรับปรุงคุณภาพของยาให้ดีขึ้น เปอร์เซ็นต์การหายจากโรคก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้อีก...ชื่อเสียงของท่านจึงขจรขจายไปยังประเทศต่างๆ

แผนการรักษาของท่านได้นำไปปฏิบัติตามประเทศต่างๆ และเป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์ว่าเป็นการรักษาโรคพิษสุนัขบ้าที่ได้ผลชะงัดที่สุด. ผู้ป่วยบางคนที่มีฐานะการเงินดี ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลเพียงไร ก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นมาให้ท่านปาสเตอร์รักษาดังเช่นเยาวชนอเมริกัน 4 คน อยู่ถึงนิวยอร์ก ยังอุตส่าห์มาให้ท่านปาสเตอร์รักษา...เพียงไม่กี่วัน ก็หายเป็นปรกติ ยิ้มกลับบ้านได้

นอกจากค้นพบยาแก้โรคพิษสุนัขบ้าแล้วท่านปาสเตอร์ยังค้นพบว่าความร้อนสามารถฆ่าจุลินทรีย์ได้...นักวิทยาศาสตร์จึงได้นำเอาความรู้ไปใช้ ก่อให้เกิดคุณประโยชน์มหาศาลแก่วงการแพทย์ และ นักวิทยาศาสตร์เรียกวิธีการฆ่าเชื้อแบบนี้ในภาษาอังกฤษว่า

ปาสเจอไร้ส์” (Pasteurize) คือใช้ชื่อของท่านมาทับศัพท์นั่นเอง...วิทยาการนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างใกล้ชิด เช่นนมสดที่รีดจากแม่โคนมใหม่ ๆ ต้องผ่านปาสเจอไร้ส์ คือผ่านความร้อนที่อุณภูมิหนึ่ง ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ นมสดจึงจะเก็บไว้ได้นานไม่เสีย

ในสมัยท่านปาสเตอร์ กสิกรเลี้ยงไหมทางภาคใต้ฝรั่งเศส ต้องประสบปัญหากับโรคระบาดชนิดหนึ่งที่เกิดกับตัวไหม ทำให้ลำตัวเป็นจุดๆ เรียกว่า โรคเปบรีน (Pebrine) และตายไปในที่สุด. อุตสาหกรรมไหมได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก...ท่านปาสเตอร์ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอยู่ถึง 5 ปี จึงพบยาที่ใช้ปราบโรคเปบรีนได้ กสิกรเลี้ยงไหมได้รอดพ้น จากความหายนะก็โดยอาศัยท่านปาสเตอร์ผู้นี้

ทุกวันนี้ทั่วโลกยกย่องหลุยส์ปาสเตอร์ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์แก่สาธารณชนแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งทุกคนมักจะมองข้ามเสีย คือความศรัทธาที่ท่านมีต่อบิดาของท่าน. ในฐานะที่บิดาของท่านมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแรงกล้า ตัวท่านเองก็ได้รับเอาความเชื่อนั้นเป็นมรดกตกทอดมาด้วย. ในความเปรื่องปราดของท่าน ท่านมองเห็นภาพพระผู้สร้างสะท้อนอยู่ในทุกสิ่งที่อยู่รอบกายท่าน และท่านก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์รุ่นราวคราวเดียวกับท่านหลายคนจึงมองไม่เห็นสัจธรรมข้อนี้.

โยเซฟปาสเตอร์ บิดาของท่านนั้นมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเป็นนักฟอกหนัง แต่ก็มีความศรัทธาแก่กล้าในพระศาสนาคาทอลิกเป็นอย่างยิ่ง และได้ถ่ายทอดความศรัทธานั้นให้แก่ลูกชายอย่างครบถ้วน. หลุยส์ปาสเตอร์ สมัยเมื่อเป็นเด็กๆ ชอบวาดภาพต่างๆ ไว้มาก...วันดีคืนดีโยเซฟ ปาสเตอร์ ผู้เป็นพ่อมักจะเอาภาพเหล่านั้นออกมาอวดเพื่อนๆ ...ที่แปลกก็คือทุกภาพจะต้องมีรูปกางเขนติดอยู่ อันเป็นฝีมือของปาสเตอร์ผู้พ่อ... ปาสเตอร์ผู้ลูกก็ยอมรับ...ถึงกับเล่าไว้ในจดหมายที่เขียนถึงภรรยาว่า ส่วนที่สวยที่สุดของภาพวาดเหล่านั้น ก็คือภาพกางเขนนั่นเอง.

เมื่อบิดาสุดที่รักตายไปในปี 1865 บุตรก็มีความศรัทธามาก. ตลอดเวลา 30 ปี หลังจากนั้น บุตรไม่เคยลืมบิดาเลยยังคงเฝ้าระลึกถึง อธิษฐานภาวนา และทำบุญขอมิซซาอุทิศให้บิดาตลอดเวลา. ท่านสำนึกเสมอว่าตอนท่านเป็นเด็กเป็นบิดาเองที่คอยกีดกันมิให้ท่านคลุกคลีกับเพื่อนที่ไม่ดี, หัดให้ท่านขยันขันแข็งในการทำงานและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างไม่มีที่ติ,มีความเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้า และท่านก็ปฏิบัติอย่างครบถ้วน

ท่านเองคือ1ในนักวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เหล่านักนิยมทฤษฎีที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเกิดได้เอง รวมทั้งผู้นิยมชาร์ล ดาร์วิน ต้องกลับไปคิดทบทวนใหม่ เพราะท่านได้ทำการทดลองพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ในสมัยนั้นผู้นิยมทฤษฎีวิวัฒฒนาการของ ชาร์ล ดาวิน มักอ้างว่าสิ่งมีชีวิตเกิดเองได้ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า เช่นถ้าเราทิ้งเนื้อไว้เฉยๆ จะเกิดหนอนขึ้นมา แปลว่าหนอน(สิ่งมีชีวิต)เกิดจากก้อนเนื้อ(ไม่มีชีวิต)ได้ ถ้าหากมีอาหาร และมีอุณหภูมิเหมาะสม แต่50ปีต่อมา หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็ได้พิสูจน์ โดยการเก็บเนื้อ2ชิ้น ชิ้นหนึ่งวางทิ้งไว้ ชิ้นหนึ่งเก็บไว้ในที่ปิดมิดชิด ปรากฎว่าเนื้อที่เก็บในครอบแก้วอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดหนอน ท่านอธิบายว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเกิดเองได้ หนอนนั้น เกิดจากแมลงวันที่มาตอมชิ้นเนื้อแล้ววางไข่ไว้ต่างหาก

ท่านปาสเตอร์แม้ว่าตอนนั้น จะมีชื่อเสียงโด่งดังมากแล้ว แต่ท่านก็ยังคงเป็นคนสุภาพถ่อมตน เจริญชีวิตแบบเรียบง่าย. มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านกลับจากการประชุมนักวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่กรุงปารีส มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมาร่วมประชุม...เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน...ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่จะมาในมาดใหม่ๆ ทั้งสิ้น ไปมาโดยเครื่องบินส่วนตัว, มีรถยนต์คันงามรับส่ง

แต่สำหรับท่านปาสเตอร์แล้วท่านโดยสารรถไฟชั้นธรรมดา ขณะมากลางทาง พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเป็นคนฉลาดปราดเปรียวและหยิ่งผยองและถูกลัทธิอเทวนิยมล้างสมอง. เมื่อเห็นท่านสุภาพบุรุษสูงอายุ น่าเคารพนั่งอยู่คนเดียว นัยน์ตามองออกไปทางหน้าต่าง มือขวาถือสายประคำ. เด็กหนุ่มคนนั้นก็ปราดเข้ามาทักทายพลางแนะนำตัวเองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย พร้อมกับกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า

ลุงยังเชื่อสิ่งที่ถืออยู่ในมือหรือ?”

ท่านปาสเตอร์ไม่ตอบว่ากระไร ส่วนเจ้าหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ คงเซ้าซี้ชวนท่านคุยเละแจ้งความประสงค์อยากจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่าน
ท่านปาสเตอร์อดรนทนไม่ได้ก็จำใจหยิบนามบัตรขึ้นมาใบหนึ่งส่งให้เด็กหนุ่มคนนั้น...พอเห็นชื่อ หลุยส์ ปาสเตอร์เท่านั้น ถึงกับหน้าถอดสีละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษและรีบขอตัวจากไป

หลุยส์ ปาสเตอร์ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1895 ในมือยังคงถือสายประคำอยู่ ท่ามกลางการห้อมล้อมของสมาชิกในครอบครัว, ลูกศิษย์ลูกหาที่รักใคร่เคารพในตัวท่าน...ในช่วงที่อาการของท่านทรุดหนัก จนไม่สามารถอ่านหนังสือด้วยตนเองได้แล้ว ท่านก็ขอให้คนอ่านชีวประวัติของท่านนักบุญ วินเซนต์ เดอปอล บุตรชาวนาผู้ยากจนเช่นเดียวกับท่าน. แต่ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก มากมายเหลือคณานับ. ท่านเองก็หวังว่า ผลงานของท่านคงจะได้ช่วยให้คนเป็นอันมาก ได้พ้นทุกข์ทรมาน เป็นต้นพวกเด็กๆ และคนยากจนทั้งหลาย

บนหีบศพของท่าน ภายในโบสถ์บริเวณสถาบันปาสเตอร์ (Pasteur Institute) ที่กรุงปารีสมีข้อความที่คัดมาจากบทประพันธ์ของนักวิทยาศาสตร์จารึกไว้ดังนี้

ผู้ที่ธำรงฉายาลักษณ์พระเจ้าและเจริญชีวิตตามนั้น คือความงามที่ล้ำเลิศ, วิทยาการที่ทรงคุณค่า, ความภาคภูมิของประเทศชาติ และคุณธรรมแห่งพระคริสตธรรม






วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดอกไม้ นาร์ซิสซัส


Narcissus

ชื่อ นาร์ซิสซัส มาจากภาษากรีกที่เรียกชื่อว่า นาร์ซิสโซ แปลว่าเอาชนะการลุ่มหลงมึนเมาได้และเชื่อกันว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเฮเดส (Hades)จากยมโลก

นาร์ซิสซัส เป็นดอกไม้ของคนที่เกิดเดือนธันวาคม
ดอกไม้ชนิดนี้ลักษณะคล้ายกับดอกไม้ที่ชื่อแดฟโฟดิลและดอกไม้ที่ชื่อว่าฌองควิล(สเปน)ที่เป็นดอกไม้ของคนที่เกิดเดือนมีนาคม (ลักษณะของเหมือนคล้ายกันคือเป็นพืชล้มลุกมีลักษณะของดอกผอมแคบและยาว หนังสือบางเล่มบอกว่าเป็นดอกชนิดเดียวกันแต่มีชื่อต่างกันและ มีสีเหลืองเหมือนกันอีกด้วย)

ลักษณะคล้ายกับดอกไม้ที่ชื่อแดฟโฟดิลและดอกไม้ที่ชื่อว่าฌองควิล (สเปน) ที่เป็นดอกไม้ของคนที่เกิดเดือนมีนาคม(ลักษณะของเหมือนคล้ายกันคือเป็นพืชล้มลุกมีลักษณะของดอกผอมแคบและยาว หนังสือบางเล่มบอกว่าเป็นดอกชนิดเดียวกันแต่มีชื่อต่างกันและ มีสีเหลืองเหมือนกันอีกด้วย) ชื่อนาร์ซิสซัส มาจากภาษากรีกที่เรียกชื่อว่า นาร์ซิสโซ แปลว่าเอาชนะการลุ่มหลงมึนเมาได้และเชื่อกันว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเฮเดส (Hades)จากยมโลก

ชื่อของดอกไม้นาร์ซิสโซยังเกี่ยวกับเรื่องของเทพเจ้ากรีกอีกด้วย ในยุคนั้นมีชายหนุ่มรูปงามมากเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทพมีชื่อว่านาร์ซิสซัส เนื่องจากความที่มีความหล่อเหลามากมีแต่คนหลงรักทั้งเทพเจ้าด้วยกัน มนุษย์ นางพรายต่างๆ แต่เขาไม่ได้รักใครเลยนอกจากตัวเองตอนนั้นมีนางพรายคนหนึ่งชื่อว่านาง เอคโค่ได้มาหลงรักแต่นาร์ซิสซัสไม่ได้สนใจ นางพราย เอคโคเสียใจมากหนีเข้าไปอยู่ในถ้ำจนตรอมใจตาย นาร์ซิสซัสก็ไม่สนใจค่ะ วันๆได้แต่นั่งอยู่ข้างๆแหล่งน้ำเพื่อชะโงกดูเงาตัวเอง อยู่มาวันหนึ่งคงจะชะโงกดูเงาตัวเองในลำธารเพลินไปหน่อยเลยตกลงไปในน้ำและจมน้ำตาย เทพเจ้ากรีกเลยเสกให้บริเวณที่เขาจมน้ำมีดอกไม้ชนิดหนึ่งขึ้นบริเวณนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึง ดอกไม้นั้นเลยได้ชื่อว่า นาร์ซิสซัส

เจ้าดอกไม้นาร์ซิสซัสยังมีความหมายเกี่ยวกับความตายและการเกิดใหม่อีกด้วยเพราะว่าสาวสวยนางหนึ่งชือ เพอร์เซโพเน่กำลังเก็บดอกไม้นี้ขณะที่ เฮเดส เจ้าแห่งยมโลกมาขโมยตัวของเธอเอาไปเป็นภรรยาที่ยมโลกทำให้เกิดการโศกเศร้ากันอย่างมากมายโดยเฉพาะแม่ของนางเพอร์เซโพเน่ร่ำไห้จน เฮเดสทนไม่ไหวจนยินยอมให้เธอกลับมาบนโลกในระยะเวลาสั้นๆคือช่วงฤดูไบไม้ผลิจนถึงฤดูไบไม้ร่วง ช่วงนี้เองที่ดอกแดฟโฟดิลหรือดอกนาร์ซิสซัสจะออกดอกชูช่อสว่างไสวไปตามท้องทุ่งและริมน้ำและจะออกดอกและบานก่อนดอกไม้ชนิดอื่นค่ะ ดอกนาร์ซิสซัสนี้ยังใช้ในงานพิธีศพของชาวอียิปต์โดยจะนำดอกไม้นี้ไปวางที่ริมฝีปาก ดวงตาทั้งสองข้างและจมูกของฟาโรห์ก่อนที่จะนำไปฝังหรือก่อนทำเป็นมัมมี่ แม้แต่ศาสนาคริสต์ก็ถือว่าดอกไม้นี้เป็นหมายของความตายและการฟื้นจากความตายของพระคริสต์

แต่ถ้าเป็นสมัยโบราณยุควิคตอเรียนถ้ามีคนส่งช่อดอกไม้ที่มีเจ้านาร์ซิสซัสแซมอยู่ด้วยจะแปลว่าส่งความระลึกถึงและอยากจะสารสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นและเต็มไปด้วยความเสน่หาค่ะแต่ในปัจจุบันถ้าส่งช่อดอกไม้ที่มีดอกนาร์ซิสซัส แดฟโฟดิลหรือจองควิลไปให้ใครจะมีความหมายว่าเพื่อระลึกถึงชีวิตหลังความตาย ความหวัง การเกิดใหม่และการมีชีวิตอมตะหรืออาจจะมีความหมายส่วนตัวว่าให้ความรัก ความหวังที่จะกลับคืนมาเหมือนเดิม


เอคโค่กับนาร์ซิสซัส ( Echo & Narcissus )


Echo & Narcissus



รูปของนางไม้ที่ชื่อเอคโค(ที่แปลว่าเสียงสะท้อน)กับนาร์ซิสซัส ที่กำลังชะโงกเหนือลำธารเพื่อชมโฉมของตัวเอง

เอคโค่คือนางไม้แสนงามแห่งภูเขาเฮลิออนผู้เป็นบุตรีของเกอา แต่นางเป็นคนที่ช่างพูดในประเภทที่ว่าหากเลี้ยงนกแก้วนกขุนทองเอาไว้ มันจะต้องกัดลิ้นตายแน่

แม้ผู้อื่นจะรำคาญที่นางพูดมากเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งมีประชุมเหล่านางไม้และนางพราย ซึ่งเทวีเฮร่า(ในภาษาโรมันเรียกจูโน)เจ้าแม่แห่งสรวงสวรรค์เป็นประธาน เป็นไปตามที่ทุกคนคาด นางไม้เอคโค่เล่นจ้อเสียคนเดียวโดยไม่เว้นช่องไฟให้ใครได้พูดเลย แม้กระทั่งตัวเฮร่าเองก็หาจังหวะจะแทรกไม่ได้ ทำให้เฮร่าทั้งโกรธทั้งรำคาญความเป็นนกแก้วนกขุนทองยังอายของนาง เทพีแห่งสรวงสวรรค์จึงร่ายคำสาปใส่เอคโค่ ให้นางพูดสิ่งใดไม่ได้นอกจากคอยพูดตามคำสุดท้ายของประโยคที่ผู้อื่นพูด

เอคโค่อับอายมากที่ต้องคอยพูดเพียงคำท้ายประโยคของผู้อื่น และถูกล้อเลียนจนไม่เข้าประชุมหรือสมาคมกับใครอีกเลย ซึ่งบรรดานางไม้นางพรายทั้งหลายก็สุดแสนจะดีใจไม่เป็นทุกข์ร้อนที่นางหายหน้าไป (ยังรำคาญอยู่เหมือนกัน ที่มีเอคโค่มาคอยพูดตามท้ายประโยคทุกคำ)

กล่าวถึงชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนามว่านาร์ซิสซัสบุตรแห่งเซฟิซุสกับเลียริโอปี เป็นผู้ชอบท่องไปตามป่าเขาลำเนาไพร นาร์ซิสซัสถือเป็นชายหนุ่มที่งามที่สุดในยุคนั้นทีเดียว ทำให้มีหญิงสาวมาหลงรักมากมายจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน เขาจึงตัดสินใจมาอยู่ในป่าเพื่อตัดความรำคาญ แต่ไม่วายมีเหล่านางไม้นางพรายมาหลงใหลได้ปลื้มอีก โดยเฉพาะเอคโค่นั้นหลงรักนาร์ซิสซัสจนตามติดทุกฝีก้าวแบบไปไหนไปกัน นาร์ซิสซัสออกปากไล่ก็ยังไม่ยอมไป ซ้ำยังทำหน้าใสซื่อทวนคำท้ายประโยคของเขาอีก ทำให้ชายหนุ่มปลงๆขี้เกียจตอแยด้วย และปล่อยให้นางไม้ผู้นี้ติดตามต่อไปตามใจนาง

นาร์ซิสซัสไม่เพียงแต่ไม่ใยดีบรรดาหญิงสาวนางไม้นางพรายที่หลงรักเขา ซ้ำยังดูแคลนความรักของพวกนางอีกด้วย ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระและน่าเบื่อสิ้นดี เรื่องนี้ร้อนถึงเทวีอะโฟรไดที (วีนัสในโรมัน) เทพีแห่งความรัก นางเห็นว่าการที่หนุ่มรูปงามเช่นนาร์ซิสซัสไม่มีความรักนั้นเป็นความผิดอย่างร้ายแรงอยู่แล้ว (ในความคิดของนางเอง) และยังมาดูแคลนความรักอีก รวมกันแล้วเป็นความผิดอย่างอภัยให้ไม่ได้ จึงสาปให้นาร์ซิสซัสหลงรักเงาตนเอง

ฝ่ายนาร์ซิสซัสรูปงามนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าตัวเองโดนอะโฟรไดทีสาปเข้าเต็มๆ เมื่อเดินทางมาถึงลำธารใสสะอาดก็ก้มลงหวังจะวักน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น แต่พลันสายตาของเขาก็ไปสบกับดวงตาของชายหนุ่มที่รูปงามที่สุดเท่าที่เขาจะจินตนาการได้ นาร์ซิสซัสยิ้มให้ชายหนุ่มซึ่งเขาก็ยิ้มตอบมาด้วยรอยยิ้มละไมเช่นกัน ความรักนั้นก็บังเกิดขึ้นเต็มใจของนาร์ซิสซัส เขายื่นแขนออกไปหมายจะโอบกอดชายรูปงามเบื้องหน้า แต่ทว่าเมื่อมือของเขาสัมผัสกับผิวน้ำ ภาพชายหนุ่มก็หายไปและกลับคืนมาเมื่อน้ำเรียบสงบดังเดิม

ผลจากคำสาปทำให้นาร์ซิสซัสเฝ้ามองชายในน้ำโดยไม่รู้ว่าเป็นเงาของตน เขาไม่ยอมกินยอมนอนและคอยจะโอบกอดชายรูปงามที่เขาแสนรักอีก แต่ผลก็เป็นเหมือนเดิม

จนในที่สุด หนุ่มรูปงามผู้นี้ก็สิ้นใจลงข้างลำธารนั่นเอง ร่างของเขากลายเป็นดอกไม้ที่งดงามริมน้ำ ราวกับว่าคอยชะโงกดูเงาของตน และเพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อชายหนุ่มผู้งดงาม จึงเรียกดอกไม้นี้ว่า นาร์ซิสซัส (Narcissus ดอกจะมีขนาดใหญ่ ลำต้นแข็งตั้งตรง ขึ้นอยู่ตามริมน้ำ ซึ่งในภาษาจีนเรียกว่าจุ๊ยเซียนและต่อมาก็เกิดคำเรียกผู้ที่หลงใหลตนเอง บูชาตนเองว่าNacissism)

ส่วนนางไม้เอคโค่นั้น เสียใจเป็นอย่างยิ่งในการจากไปของนาร์ซิสซัส และไม่มีใครเห็นนางอีกเลย มีเพียงเสียงของนางที่คอยก้องสะท้อนคำสุดท้ายของผู้คนตามป่าเขาและถ้ำเท่านั้นที่บ่งบอกว่านางยังคงอยู่ เป็นที่มาของศัพท์คำว่า echo ในภาษาอังกฤษซึ่งแปลว่า เสียงก้อง เสียงสะท้อน