วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

Google





กูเกิลถือกำเนิด ขึ้นจากนักศึกษาระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด 2 คน ชื่อ เซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) และ ลาร์รี เพจ (Larry Page) บรินเกิดในมอสโกในปี 2516 ย่าของเขาเป็นชาวรัสเซีย เรียนจบทางด้านจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยชิคาโก แต่เธอกลับเชื่อในระบอบคอมมิวนิสต์ จึงหวนกลับไปที่มอสโก โดยหวังจะช่วยสหภาพโซเวียตสร้างชาติในปี 2464 ปู่ของเขาเป็นศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ทำงานอยู่ในมอสโก ภายหลังพ่อของเขาหนีออกมาจากรัสเซีย และสมัครเข้าเป็นอาจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ ส่วนแม่ของเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่ NASA บรินเรียนเก่งมากตั้งแต่ยังเล็ก เขาสามารถเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้ในขณะที่เรียนอยู่โรงเรียนมัธยม และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเกียรตินิยมในสาขาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในขณะที่มีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาเข้าเรียนที่สแตนด์ฟอร์ด จากทุน National Science Foundation พ่อของเขาจึงหวังว่าเขาจะจบการศึกษาระดับปริญญาเอก และเป็นศาสตราจารย์เหมือนอย่างตัวเอง นอกจากจะชอบทางด้านวิชาการแล้ว บรินยังเป็นคนขี้เล่น และชอบกิจกรรมและกีฬาต่างๆ เช่น กายกรรม เล่นเรือ ยิมนาสติก รวมทั้งยังเข้าร่วมโครงการที่มีความหลากหลายด้วย เช่น การสืบค้นการละเมิดลิขสิทธิ์อัตโนมัติ และการจัดอันดับภาพยนตร์





Sergey Brin (เซอร์เก บริน)







Larry Page (ลาร์รี่ เพจ)

ส่วน พ่อของเพจซึ่งเสียชีวิตในขณะที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยเทอม 2 จากโรคปอดอักเสบเป็นคนแรกๆ ที่จบสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี 2503 และจบปริญญาเอกในสาขาเดียวกันในอีก 5 ปีต่อมา แม่ของเขาจบระดับปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และเป็นที่ปรึกษาทางด้านการรวบรวมฐานข้อมูล (database) แม่ของเขาก็หวังให้เขาเป็นศาสตราจารย์เหมือนอย่างพ่อ เพจเล่าว่าเขามีคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในปี 2521 เนื่องจากมันมีราคาแพงมาก จากนั้นมาครอบครัวของเขา จึงต้องอยู่อย่างอัตคัด เขาชอบคอมพิวเตอร์มาก และสามารถใช้มันทำการบ้านได้ตั้งแต่ชั้นประถม รวมทั้งยังสามารถประกอบเครื่องพิมพ์ ด้วยเลโก้ได้ตั้งแต่เรียนมัธยม เขาเรียนต่อทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และสำเร็จวิชาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี 2538

หลังจาก ที่เพจและบรินพบกันครั้งแรกในฤดูร้อนปี 2538 ทั้งสองก็กลายเป็นคู่หูกันทันที ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเขาทั้งสองมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน นั่นคือ 1)คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังเล็ก 2)อาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย 3)มีพ่อเป็นศาสตราจารย์และมีแม่ที่ทำงานทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี แม้ว่าในเวลานั้นบรินจะมีอายุน้อยกว่าเพจ และเพื่อนคนอื่นๆ ที่เรียนปริญญาเอกด้วยกัน แต่เขาก็มาอยู่ที่สแตนด์ฟอร์ดได้ 2 ปีแล้ว และสามารถสอบผ่านวิชาพื้นฐาน ของระดับปริญญาเอกทั้ง 10 วิชาได้ในการสอบครั้งแรกด้วย ทั้งสองมักทำงานและอยู่ร่วมกันเสมอ เมื่อเพจย้ายไปอยู่ชั้น 3 ในตึกใหม่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคของบิลล์ เกตส์ในเดือนมกราคมปี 2539 บรินซึ่งถูกจัดให้อยู่ที่ตึกอื่นก็มาป้วนเปี้ยนอยู่กับเพจเป็นประจำ

ใน ช่วงเวลานั้นทั้งสองให้ความสนใจกับระบบการค้นหาข้อมูล แต่ระบบการค้นหาข้อมูลในโลก ที่มีอยู่ไม่สามารถทำงานได้ดีนัก แม้แต่โปรแกรมของเจอร์รี่ หยาง และเดวิด เฟโล ที่เรียกว่า Yahoo ที่ใช้วิธีจ้างทีมบรรณาธิการเลือกเว็บไซต์ตามลำดับอักษร มาเรียงกันก็เป็นระบบที่ไม่ดีเพราะการค้นหาข้อมูลจากระบบนี้ เป็นไปด้วยความยากลำบาก และไม่สามารถก้าวทันกับปริมาณเว็บที่มีเพิ่มขึ้นทุกวันได้ ส่วนระบบการค้นหาข้อมูลของ AltaVista นั้นแม้ว่าจะให้ผลเร็วกว่าและดีกว่าระบบอื่นๆ แต่ระบบนี้กลับปิดบังมิให้สามารถค้นหาข้อมูลที่เชื่อมต่อกับข้อมูลอื่นๆ ที่ปรากฏอยู่บนเว็บ เพจและบรินคิดว่าระบบการค้นหาข้อมูลที่ดี ควรที่จะมีข้อมูลทั้งหมดปรากฏอยู่ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อไปยังเว็บอื่นๆ ในปี 2539 ทั้งสองจึงเริ่มถ่ายโอนข้อมูลทั้งหมด มาสู่คอมพิวเตอร์ของตนเอง เพจตั้งทฤษฎีว่าเว็บที่มีคนเข้ามาดูมากกว่าแสดงว่าเป็นเว็บที่มีความนิยม และสำคัญมากกว่าจึงควรอยู่ในอันดับต้นๆ ของการค้นหา เขาเรียกระบบการให้อันดับการเชื่อมโยงว่า PageRank ตอนต้นปี 2540 ทั้งสองจึงพัฒนาระบบค้นหาข้อมูลใหม่ และตั้งชื่อว่า BackRub โครงการนี้สร้างความเข้าใจในระบบการค้นหาข้อมูลมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้การค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ได้รับการจัดอันดับอย่างตรงประเด็นด้วย เพื่อให้จดจำง่าย และดึงดูดใจมากขึ้น ในตอนปลายปีเดียวกันนั้นทั้งสอง จึงตั้งชื่อระบบค้นหาข้อมูลใหม่นี้ว่ากูเกิล หลังจากนั้นนักศึกษา และฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด ต่างก็นิยมใช้กูเกิล จนทำให้ทั้งสอง ต้องการคอมพิวเตอร์จำนวนมากขึ้นเพื่อเก็บข้อมูล

ใน เดือนมีนาคมปี 2541 เพจและบรินเกือบขายลิขสิทธิ์ระบบการค้นหาข้อมูลนี้ให้กับ AltaVista ในราคา 1 ล้านดอลลาร์ แต่บริษัทแม่ของ AltaVista กลับไม่ยินดีซื้อเพราะพวกเขาไม่อยากพึ่งบริษัทอื่น แม้ว่าทั้งสองจะตื่นเต้น กับระบบการค้นหาข้อมูลของตนเอง ที่ทำให้ผู้ค้นหาข้อมูลได้ข้อมูลที่ตรงประเด็นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีบริษัทใดเห็นโอกาสจากระบบนี้ แม้แต่ Yahoo ซึ่งต้องการระบบในการค้นหาข้อมูลที่ดีกว่าที่มีอยู่ก็ตาม เดวิด เฟโล ผู้ร่วมก่อตั้ง Yahoo ยังแนะนำให้ทั้งสองเปิดบริษัทเพื่อพิสูจน์ว่า ระบบของพวกเขามีศักยภาพในการค้นหาข้อมูลได้ดีที่สุด และพวกเขาควรออกแบบธุรกิจที่เหมาะสม กับระบบที่พวกเขาคิดค้นขึ้น หลังจากที่พวกเขาถูกปฏิเสธ จากหลายบริษัท พวกเขาจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับการพัฒนาระบบ เพื่อใช้กันภายในมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ดเท่านั้น

หลังจากที่เพจและ บรินพยายามพัฒนาระบบค้นหาข้อมูลต่อไปจนกระทั่งเงินหมด ในเดือนสิงหาคมปี 2541 ทั้งสองจึงไปพบกับแอนดี้ เบคโทลไชม์ ผู้ซึ่งชื่นชอบที่จะลงทุนให้กับบริษัทเปิดใหม่ทางด้านเทคโนโลยี แม้ว่าเบคโทลไชม์ จะยังคงสงสัยว่าระบบนี้จะทำเงินได้อย่างไร แต่เขาก็รู้สึกสนใจในระบบค้นหาข้อมูลรวมทั้งพึงพอใจ กับวิธีการคิดของทั้งสองจึงยินดีที่จะลงทุนให้ 100,000 ดอลลาร์โดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนบริษัท หลังจากรับเช็คใบนี้ 2 สัปดาห์ Google.Inc ก็ถือกำเนิดขึ้น ทั้งสองลาออกจากมหาวิทยาลัยในฤดูใบไม้ร่วงปี 2541 และย้ายเข้าไปเช่าบ้านอยู่ที่ Menlo Park โดยเสียค่าเช่า 1,700 ดอลลาร์ และจ้าง Craig Silverstein เพื่อนที่เรียนปริญญาเอกด้วยกันเป็นพนักงานคนแรกของบริษัท บริษัทกูเกิลถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 กันยายน 2541

หลังจากนั้นห้าเดือน บริษัทก็ใหญ่เกินกว่าขนาดของบ้านเช่า พวกเขาจึงต้องย้ายไปอยู่ที่ University Avenue ใน Palo Alto เพจและบรินยังคงไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจของพวกเขาทำเงิน เมื่อต้องจ้างพนักงานเพิ่ม ทั้งสองจึงต้องใช้เหตุผลต่างๆ นานาเพื่อชักจูงให้คนอื่นมาทำงานด้วย เช่น ให้หุ้นให้น้ำและขนมขบเคี้ยวฟรี และทำให้ผู้สมัครเห็นว่าคนอื่นๆ จะชื่นชมระบบค้นหาข้อมูลนี้ เมื่อผู้ใช้ระบบค้นหาข้อมูลเริ่มไม่ได้รับความพึงพอใจจากระบบเก่าๆ ที่มีอยู่ พวกเขาก็หันมาใช้กูเกิลเพิ่มขึ้นจนทำให้นิตยสารพีซี ยกย่องให้กูเกิลติดหนึ่งในร้อยของเว็บที่มีคนใช้มากที่สุด ส่งผลให้บริษัทเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว

หลัง จากใช้เงินจากผู้ร่วมทุนซื้อคอมพิวเตอร์เพิ่มจนหมด ทั้งสองจึงพยายามขายระบบการค้นหาข้อมูลนี้ให้กับบริษัทอื่นๆ แต่กลับไม่มีใครสนใจ แม้ว่าทั้งสองไม่ต้องการสูญเสียการควบคุมบริษัทไป แต่ในที่สุดก็ต้องพึ่งนักลงทุนภายนอกอีกครั้ง พวกเขาไปติดต่อกับจอห์น โดเออร์ นักลงทุนที่เคยสนับสนุน Compaq, Sun, American Online และ Amazon.com และไมเคิล มอริทซ์ แม้ว่านักลงทุนทั้งคู่จะยังไม่ทราบว่าทั้งสองมีแผนทางธุรกิจอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าระบบที่ทั้งสองพัฒนาขึ้นน่าจะมีความสำคัญในอนาคต พวกเขาจึงยินดีลงทุนให้คนละ 12.5 ล้านดอลลาร์ โดยยังยินดีให้เพจและบรินควบคุมบริษัทอยู่ โดยที่ทั้งสองต้องสัญญาว่า จะจ้างผู้บริหารที่มีประสบการณ์มาช่วยเปลี่ยนบริษัทของพวกเขาให้กลายเป็น ธุรกิจที่ทำเงินได้

วิธีการหารายได้ที่เพจและบรินตั้งใจจะทำ ก็คือขายระบบการค้นหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงนี้ให้กับองค์กร แม้ว่าในปี 2542 กูเกิลจะมีผู้เข้ามาใช้บริการถึงวันละ 7 ล้านครั้ง แต่รายได้ของพวกเขากลับน้อยมาก อย่างไรก็ดี ในที่สุดทั้งสองก็สามารถหาช่องทางในการโฆษณาได้ โดยที่ผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลไม่รู้สึกว่าถูกรบกวน กลยุทธ์ก็คือการโฆษณาอย่างตรงเป้าหมาย เมื่อผู้ใช้บริการหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ โดยที่หน้าแรกของเว็บไซต์จะไม่มีโฆษณาเลย การโฆษณาจะปรากฏขึ้นทางด้านบนของจอ เหนือข้อมูลที่ผู้ใช้บริการต้องการค้นหา ลักษณะของโฆษณาจะไม่มีรายละเอียดมาก และมีลักษณะเหมือนๆ กันหมด ในช่วงแรกบริษัทจะขายพื้นที่โฆษณาเองให้กับองค์กรใหญ่ๆ

ภายหลัง บริษัทเปลี่ยนวิธีการขายโฆษณา โดยให้ลูกค้าลงทะเบียนเอง และโฆษณาจะปรากฏขึ้นทันทีหลังลงทะเบียนเสร็จ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนลงได้มาก ส่วนลำดับโฆษณาบนหน้าจอ ก็เป็นไปตามค่าโฆษณาที่บริษัทได้รับ และตามความนิยมที่ผู้ใช้บริการเข้าไปดูโฆษณา โฆษณาที่ได้รับความนิยมมาก จะอยู่อันดับต้นๆ ทั้งสองอธิบายว่า การจัดอันดับตามนี้จะตรงประเด็นมากที่สุด นั่นหมายความว่า ยิ่งมีคนเข้าไปดูโฆษณามากเท่าใด แสดงว่าโฆษณานั้น ตรงประเด็นมากเท่านั้น นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถทำรายได้จากโปรแกรมใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ลงทะเบียนและเพิ่ม Google Search Box ลงในหน้าเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีผู้เข้าไปใช้กูเกิลได้มากขึ้น ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนและนำ Google Box เข้าไปในเว็บไซต์จะได้รับเงินคืน 3 เซนต์ หากมีคนเข้าไปใช้กูเกิลผ่านทางเว็บนั้นๆ ธุรกิจของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยาฮูบริษัทที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันทำสัญญาใช้บริการ การค้นหาข้อมูลของบริษัท ส่งผลให้กูเกิลกลายเป็นบริษัทผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในปี 2544 กูเกิลมีผู้ใช้บริการมากถึงวันละ 100 ล้านครั้ง หรือ 1,000 ครั้งต่อวินาที

นอกจากความสามารถในการบริการค้นหาข้อมูลแล้ว บริษัทยังมีนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย เช่น จับผิดคำที่สะกดผิด ค้นหาชื่อคนพร้อมเบอร์โทรศัพท์ ค้นหาภาพ ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้บริษัทเติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก เพจมักแซวคู่หูของเขาว่า การที่บริษัทต้องทำเงินให้ได้มากๆ เป็นเพราะบรินต้องการสร้างความประทับใจให้กับสาวๆ การเป็นประธานของบริษัท ที่ไม่ทำเงินมันไม่เท่ และไม่สามารถดึงดูดสาวๆ ได้ เมื่อสิ้นปี 2544 บริษัทสามารถทำกำไรเป็นครั้งแรกถึง 7 ล้านดอลลาร์

ไม่เพียงนวัตกรรมจะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ การบริหารของอีริค ชมิท CEO ก็มีส่วนสำคัญด้วย แท้ที่จริงแล้ว ชมิทซึ่งเป็นอดีต CEO ของบริษัท Novell มิได้ปรารถนาจะมาร่วมงานกับกูเกิล แต่เขาถูกโดเออร์ ผู้ที่ลงทุนให้กับกูเกิล บีบบังคับให้ไปคุยกับเพจและบริน ครั้งแรกทั้งสองก็ไม่ต้องการพบชมิทเช่นกัน แต่เนื่องจากทั้งสองรับปากนักลงทุนว่า พวกเขาจะหาผู้บริหารที่มีประสบการณ์ มาบริหารบริษัทให้ได้ พวกเขาจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำขอแกมบังคับของโดเออร์ได้ หลังจากที่ทั้งสองปฏิเสธผู้มาสมัครเป็น CEO ให้กับบริษัทคนแล้วคนเล่า ในที่สุดทั้งสองก็ยอมรับชมิท ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชมิทจบระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยพรินซตัน และจบปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์กเลย์ ก็เป็นได้ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะยินยอมให้ชมิทดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัท และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจที่จะบริหารบริษัทอย่างเต็มที่ ทั้งสองจึงบีบบังคับให้ชมิทต้องลงทุนด้วยเงินทุนของตัวเองในบริษัทด้วย ชมิทเห็นว่าหากเขาต้องบริหารกูเกิล เขาก็ควรได้หุ้นของบริษัทนี้ ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินมหาศาลได้ในอนาคตเช่นกัน ชมิทจึงตัดสินใจซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ของกูเกิล ด้วยเงินตนเอง 1 ล้านดอลลาร์ในช่วงที่บริษัทกำลังขาดเงินสดพอดี

หลังจากที่ชมิทเข้า มาบริหาร บริษัทก็พบกลยุทธ์ใหม่ในการโฆษณา นั่นคือการคิดค่าบริการ เฉพาะเมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลเข้าไปดูโฆษณาเท่านั้น วิธีการนี้ให้ความเป็นธรรมกับคู่ค้าของบริษัทมากขึ้น จึงทำให้กูเกิลมีลูกค้ามากขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังสามารถคิดวิธีการขายพื้นที่โฆษณาบนเว็บของกูเกิลใหม่ นั่นคือให้ผู้ที่ต้องการซื้อพื้นที่ประมูลกัน ผู้ซื้อพื้นที่จะประเมินเองว่า การโฆษณาสามารถเปลี่ยนเป็นรายได้มากน้อยเท่าใดจึงคุ้มกับค่าใช้จ่าย กลยุทธ์การขายพื้นที่โฆษณาทั้งสองแบบนี้ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่ม ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น