วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมวันเกิดถึงต้องมี "ขนมเค้ก"



Cake




ข้อมูลทางประวัติศาสตร์แล้วพบว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับต้นกำเนิดของธรรมเนียมการใช้เค้กเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการฉลอง วันเกิดนั้นมีด้วยกันหลากหลายทฤษฎี บางคนเชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ในขณะที่บางคนเชื่อว่าเริ่มขึ้นในยุคกลาง (middle Ages)ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อาหารเชื่อว่า เค้กวันเกิดมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัย โบราณกาลแล้ว เนื่องจากคนสมัยก่อนชอบทำขนมอบจำพวกขนมเค้กและขนมปัง เพื่อใช้บูชาในงาน พิธีกรรมทางศาสนา งานแต่งงาน งานศพ รวมถึงงานวันเกิดด้วย
ในสมัยกรีกมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตำนานเค้กวันเกิดระบุเอาไว้ว่าเป็นขนมหวานสำหรับบูชาเทพีจันทรา โดยชาวเมืองกรีกนิยมทำเค้กน้ำผึ้งหรือขนมปังหวานรูปวงกลมเพื่อนำไปบูชาเทพีจันทราที่วิหารอาร์เทอมิสขณะที่นักทฤษฎีบางสำนักเชื่อว่า จุดเริ่มต้นของเค้กวันเกิดมีขึ้นครั้งแรกในประเทศเยอรมนี ช่วงยุคกลาง ซึ่งเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของศาสนาคริสต์ โดยชาวคริสต์จะทำขนมปังหวานเป็นรูปพระเยซูทรงอยู่ในผ้าห่อตัวในประสูติ เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ที่ระลึกในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ในเวลาต่อมา ชาวเมืองเบียร์ก็เลยได้ไอเดียใหม่ๆ ทำเค้กเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่เด็กๆและจากนั้นมา ธรรมเนียมเช่นนี้ก็ถูกปฏิบัติสืบทอดต่อๆ กันมา จวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ทั้งนี้ ไม่ว่าเค้กวันเกิดจะเกิดขึ้นจากทฤษฎีใดก็ตาม จะสังเกตได้ว่าจุดเริ่มต้นก็ล้วนมาจากทางฝั่งยุโรปทั้งสิ้น ดังนั้น จึงอาจจะสรุปได้ว่าธรรมเนียมการเป่าเค้กวันเกิดเริ่มต้นจากฝั่งตะวันตก




ทำไมงานแต่งงานต้องมี"ขนมเค้ก"

ย้อนกลับไปราว 5,000 ปี ก่อน บ่าวสาวชาวกรีกต้องนำขนมปังผลไม้ และน้ำผึ้งไปบวงสรวงเทพเจ้า เพื่อขอพรแห่งความสุขความเจริญ สำหรับชีวิตคู่ต่อมาในสมัยแองโกลแซกซอนแขกรับเชิญในงานแต่งงานจะนำขนมปังมาร่วมพิธีด้วยโดยจะนำขนมปังเหล่านั้นมากองซ้อนกันไว้แล้วให้คู่บ่าวสาว
มาจุมพิตกันเหนือกองขนมปังนี้โดยมีแขกเหรื่อเป็นพยานรักจุดพลิกผันของวงการเค้กแต่งงาน เกิดขึ้นในครึ่งหลัง
ของศตวรรษที่ 17พ่อครัวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งนำน้ำตาลมาบดเป็นผงละเอียดเพื่อตกแต่งหน้าขนมปังแปลงร่างจนขนมปังธรรมดาๆให้กลายสภาพเป็นเค้กแสนวิจิตรอลังการจากนั้นเค้กแต่งงานก็วิวัฒนาการเรื่อยมา มีการใช้ดอกไม้ เช่นดอกส้มหรือดอกกุหลาบมาตกแต่ง ตามด้วยการคิดค้น รูปทรงเค้กแปลก ๆไม่ว่าจะเป็นทรงกระดิ่ง หัวใจ ไปจนถึงเกือกม้าส่วนสีสันก็เริ่มมีสีฟ้าอ่อน สีชมพู ฯลฯ

สำหรับชาว ยุโรป เค้กถือเป็นหัวใจของงานแต่งงานเพราะเค้กชิ้นแรกที่ บ่าวสาวตัดจะนำมารับประทานร่วมกันถือเป็นอาหารมื้อแรกที่แบ่งปันกันในฐานะคู่ชีวิตยิ่งเค้กชิ้นนั้นมารดาเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเป็นผู้อบจากเตาให้เองความหมายในเนื้อเค้กยิ่งขึ้นไป




ประวัติของเค้กบราวนี่
ฝรั่งเป็นชาติที่นิยมชมชอบบริโภคขนมอบ ชนิดต่างๆ มาก ประกอบกับ ช่วงสภาพอากาศหนาวเย็นกินระยะเวลาที่ยาวนาน คุณแม่บ้านส่วนใหญ่ จึงมักเข้าครัวอบขนมอุ่นๆจากเตาให้สมาชิกในครอบครัวได้กินร่วมกัน ขนมอบสุดคลาสสิกที่มีมาแต่นมนานได้แก่ เค้ก คุกกี้ และขนมปัง แต่ในยุคหลังๆมีน้องใหม่อย่าง บราวนี่ พัฟ และพาย มาช่วยเพิ่มสีสันความหลากหลาย
บราวนี่ (brownie) ขนมชิ้นสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้ม ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของคุกกี้
ภาษาอังกฤษเรียกว่า sheet cookies หรือ คุกกี้แผ่นที่มีลักษณะคล้ายเค้กช็อกโกแลตเข้มข้นแต่เนื้อแน่นกว่ามากและไม่เบาฟูเหมือนอย่างเค้ก นัยว่าเพราะใส่ผงฟูน้อยขนมเค้กส่วนใหญ่นั้นเป็นก้อนกลม
แต่บราวนี่กลับเป็นเค้กช็อกโกแลตที่อบในถาดแบนรูปสี่เหลี่ยมสูง 1 นิ้วกว่าๆ แล้วตัดแบ่งเป็นชิ้นลักษณะสี่เหลี่ยม ขนาดพอเหมาะ เอกลักษณ์ของบราวนี่ก็อยู่ตรงที่เนื้อแน่นและเป็นเค้กตัดนี่แหละ แม้ว่าที่มาของบราวนี่จะไม่ชัดเจน แต่นักประวัติศาสตร์อาหารสันนิษฐานว่าเจ้าขนมรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 กล่าวกันว่า

บราวนี่เกิดจากความบังเอิญในการทำเค้กช็อกโกแลตโดยลืมใส่ผงฟูอบออกมาแล้วเค้กไม่ขึ้นฟู แต่กลับได้ขนมสีน้ำตาลเข้มเนื้อแน่นอันเป็นที่มาของชื่อ “brownie” นั่นเอง นับได้ว่า " ความหลงลืมความผิดพลาดเป็นปัจจัยผลักดันความก้าวหน้า "ให้ขนมชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก
ชื่อของ brownie ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนสื่อสิ่งพิมพ์ใน Sears, Roebuck and Company Catalog เมื่อปี ค.ศ.1897
ต่อมาไม่นานก็พบว่ามีสูตรการทำบราวนี่ตามตำราอาหารต่างๆด้วย อาทิเช่น BostonCooking-School Cook Book, The Joy of Cookingจนคนรู้จักบราวนี่แพร่หลายขึ้น เป็นที่นิยมทำกินกันตั้งแต่ ค.ศ.1920เป็นต้นมา






























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น